กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยไตรมาสแรกปี 2558 ต่างด้าวลงทุนไทยแล้ว 113 ราย มีเงินลงทุนประกอบธุรกิจเกือบ 4,000 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 1,000 คน นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจในประเทศไทย 38 ราย ซึ่งเป็นคนต่างด้าวที่ยื่นขออนุญาตครั้งแรก 22 ราย การอนุญาตทำให้คนต่างด้าวต้องนำเงินเข้ามาลงทุนในการประกอบธุรกิจ 1,283 ล้านบาทและมีการจ้างงานคนไทย322 คน
สำหรับธุรกิจที่ได้รับอนุญาต ได้แก่ ธุรกิจบริการให้แก่บริษัทในเครือ/ในกลุ่มและบริษัทคู่ค้า 19 ราย มีเงินลงทุน 1,043 ล้านบาท เป็นคนต่างด้าวจากประเทศญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สาธารณรัฐเกาหลีเดนมาร์ก มาเลเซีย สิงคโปร์ อิตาลี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ธุรกิจสำนักงานผู้แทน 11 ราย มีเงินลงทุน 33 ล้านบาท เป็นคนต่างด้าวจากประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ฟินแลนด์ และไต้หวัน ธุรกิจค้าปลีก 6 ราย มีเงินลงทุน 195 ล้านบาท เป็นคนต่างด้าวจากประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเนเธอร์แลนด์ ธุรกิจที่เป็นคู่สัญญากับภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ 1 ราย มีเงินลงทุน 6 ล้านบาท เป็นคนต่างด้าวจากประเทศฝรั่งเศส และธุรกิจนายหน้าตัวแทน 1 ราย มีเงินลงทุน 6 ล้านบาท เป็นคนต่างด้าวจากประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ เดือนมีนาคม 2558 จำนวนธุรกิจที่ได้รับอนุญาตมีจำนวนเท่ากับเดือนก่อน ขณะที่เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 472 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 58 และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนปรากฏว่าจำนวนธุรกิจที่ได้รับอนุญาตเพิ่มขึ้น 12 ราย คิดเป็นอัตราร้อยละ 46 ขณะที่เงินลงทุนลดลง 946 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 42 เนื่องจากเดือนมีนาคม 2557 มีผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินให้แก่บริษัทในเครือซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง

อย่างไรก็ตาม ไตรมาสแรกปี 2558 (ม.ค.-มี.ค.) คณะกรรมการฯ ได้อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจในประเทศไทยแล้ว 113 ราย มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 3,761 ล้านบาท และมีการจ้างแรงงานคนไทย 1,000 คน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนปรากฏว่าจำนวนธุรกิจที่ได้รับอนุญาตเพิ่มขึ้น 27 ราย คิดเป็นอัตราร้อยละ 31 และเงินลงทุนลดลง 1,054 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 22.

หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด Photo credit by : dbd.go.th

ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักข่าวไทย