นายเอ็ดเวิร์ด เอช แบทเชเล่อร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอร์มิกซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Cormix International) ผู้นำในวงการอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง เปิดเผยว่า จากนโยบายการลงทุนโครงการขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจกท์ของรัฐบาลที่ได้ ส่งผลให้ในปี 2558 นี้ ตลาดรวมวัสดุก่อสร้างจะมีการเติบโตขึ้นประมาณ 20% ทั้งนี้ หากสถานการณ์ทางการเมืองยังคงสงบ และรัฐบาลมีเสถียรภาพในการขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ตามที่ตั้งเป้าในการลงทุนเอาไว้ บริษัทเชื่อว่าจะส่งผลให้ปี 2559 ตลาดรวมวัสดุก่อสร้างจะมีการเติบโตขึ้นประมาณ 30% โดยเฉพาะตลาดเคมีภัณท์เพื่องานก่อสร้าง ที่มีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ในปี 2557 ที่ผ่านมา เพราะจะเติบโตตามตลาดรวมวัสดุก่อสร้าง
สำหรับในส่วนของบริษัทนั้น ปี 2557 ที่ผ่านมา มีสัดส่วนงานก่อสร้างที่มาจากภาครัฐอยู่ที่ประมาณ 70% เพิ่มขึ้นจาก 50% ในปี 2556 ที่มีวิกฤตการณ์ทางการเมือง โดยลักษณะงานที่ภาครัฐว่าจ้างบริษัทนั้น แบ่งออกเป็น กลุ่มงานซ่อมแซม และกลุ่มงานกันรั่วซึม ซึ่งในปี 2557 บริษัทได้ดูแลงานเคมีภัณฑ์เพื่องานก่อสร้างให้แก่หน่วยงานของการไฟฟ้า การประปา และการรถไฟ โดยเฉพาะการรถไฟที่มีโครงการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และการสร้างอุโมงค์ลอดใต้เจ้าพระยา รวมถึงการสร้างอุโมงค์ระบายน้ำที่เชียงใหม่ “ในปี 2557 ต้องรับว่าได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลมาก โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกท์ ซึ่งปัจจุบันฐานกำลังการผลิตของบริษัทตั้งอยู่ที่ถนนร่มเกล้า โดยในปี 2558 นี้บริษัทมีแผนใช้งบลงทุนในสัดส่วน 40% ของยอดขาย เพื่อการค้นคว้าและวิจัยพัฒนาผลิตภัณท์ใหม่เพื่อป้อนสู่ตลาด” นายเอ็ดเวิร์ด เอช แบทเชเล่อร์ กล่าว ทั้งนี้ ตลาดเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง ถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างงานก่อสร้างทุกชนิด ซึ่งปัญหารั่วซึม คอนกรีตกัดกร่อน แหว่งเว้า เกิดสนิมและอื่นๆ หากเกิดปัญหาแล้วจะยากต่อการแก้ไข และจะเกิดความสูญเสียทั้งด้านงบประมาณและตัวทรัพย์สิน ดังนั้น บริษัทจึงได้วางนโยบาย “สร้างความต่าง” ทั้งตัวสินค้าและบริการ โดยให้บริการในลักษณะ Solution (โซลูชั่น) และ Customized Product (บริการพัฒนาผลิตภัณฑ์พิเศษเฉพาะราย) พร้อมทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานร่วมกันในรูปแบบ Partner consultant ด้วยการให้คำปรึกษาพร้อมบริการแบบครบวงจร ตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังการขาย นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตั้งโรงงานผลิตขึ้นเองในไทย พร้อมห้องแล็บที่ได้มาตรฐาน ตั้งอยู่ที่ถนนร่มเกล้า โดยโรงงานมีการนำเข้าวัตถุดิบคุณภาพสูงจากแหล่งวัตถุดิบที่ดีที่สุดในต่างประเทศ อาทิ เยอรมนี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เป็นต้น มาผลิตสินค้า และยังมีแผนที่เตรียมดันโรงงานในไทยให้เป็นฐานการส่งออกไปยังตลาดโลก ปัจจุบันได้ขยายตลาดครอบคลุมกว่า 20 ประเทศทั่วโลก อาทิ จีน อิตาลี ออสเตรเลีย รัสเซีย เมียนมาร์ เป็นการทำการตลาดผ่านช่องทางเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย และการให้ลิขสิทธิ์การผลิตในแต่ละประเทศ นายเอ็ดเวิร์ด เอช แบทเชเล่อร์กล่าวว่า ในปี 2558 นี้บริษัทคาดการณ์รายได้ไว้ที่ประมาณ 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มีรายได้ 150 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2559 บริษัทคาดการณ์การเติบโตไว้ที่ประมาณ 30%

หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด Photo credit by : manager.co.th

ขอบคุณข้อมูลจาก : Naewna.com