พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค ว่า จะต้องมีการปรับแก้มติ ครม. เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ไปเจรจากับเอกชนรายเดิมโดยตรง เนื่องจากบางส่วนขัดต่อหลักการ จากมติ ครม.เมื่อปี 2553 ที่ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 เป็นผู้พิจารณา หากคณะกรรมการมีความเห็นออกมาเช่นไรรัฐบาลก็จะมีมติเห็นชอบตามนั้น
ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังมีมติ ครม. เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ให้ รฟม.ไปเจรจาโดยตรงกับเอกชน มีหลายฝ่ายออกมาให้ความเห็นว่าขัดต่อหลักการ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไปดูเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งนายวิษณุรายงานว่า ควรจะต้องทบทวนมติ ครม.ดังกล่าว เพราะจะให้ รฟม.ไปเจรจาโดยตรงกับใครไม่ได้ ต้องดำเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่ เพราะหากเวลาผ่านไปจะถูกร้องทุกข์กล่าวโทษกันไปมาได้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม กล่าวว่า หลัง ครม.ได้มีมติ ให้ทบทวนการเจรจาเอกชนรายเดิมเข้ามาเดินรถไฟฟ้าต่อเนื่องสายสีน้ำเงิน และให้ไปดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ โดยรัฐเป็นผู้รับความเสี่ยงค่าโดยสาร และจ้างเอกชนเป็นผู้เดินรถและซ่อมบำรุง โดยรัฐจ่ายค่าจ้างเดินรถ และคณะกรรมการตามมาตรา 13 จะเป็นผู้พิจารณาว่า จะเปิดประมูลใหม่ หรือเรียกเอกชนที่เดินรถรายเดิมคือ บริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีเอ็มซีแอล เข้ามาเจรจา ซึ่งแนวทางคณะกรรมการมาตรา 13 จะต้องเร่งสรุปโดยเร็ว สำหรับสาเหตุที่ ครม.มีมติให้เจรจาเอกชนรายเดิมเดินรถต่อเนื่อง เนื่องจากหากมีการเปิดประมูลใหม่จะทำให้การเปิดให้บริการล่าช้าออกไป นอกจากนั้นในเงื่อนไขการดำเนินการ พ.ร.บ.ร่วมทุนเอกชนปี 2556 นั้นมีเงื่อนไขว่าโครงการที่จะใช้จะต้องแล้วเสร็จแล้ว แต่โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ปัจจุบันยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ประกอบกับถ้าดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนเอกชนปี 2556 ต้องเริ่มตั้งคณะกรรมการใหม่ ซึ่งอาจจะล่าช้าได้.

ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์