ถอนขนห่าน สำหรับคนไทยคุ้นเคยจนคุ้นชินไปแล้วกับชีวิตสมัยนี้ในยุคที่เศรษฐกิจมีปัญหาใส่เกียร์ถอยหลังเกินครึ่งโลก ผู้นำชาติยักษ์ใหญ่กว่าครึ่งโลกตั้งแต่อเมริกาถึงยุโรปเรื่อยมาถึงเอเชีย ล้วนทิ้งไพ่ใบสุดท้ายด้วยการขึ้น และเก็บภาษีคนรวยอย่างเมามัน ด้วยสูตรที่ว่ายุคนี้ต้องแก้เศรษฐกิจด้วยการดึงเงินคนมีฐานะมาโปะตัวเลขรัฐบาลที่ขาดดุลสะสมบักโกรก แต่ในเวลาเดียวกัน คนไม่เคยเข้าใกล้เส้นความยากจนตั้งแต่เกิดมา ก็คิดไม่ตกว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี ในเมื่ออยู่ดีๆ งานที่เคยทำก็ไม่ได้ทำอีกต่อไป ไม่ว่า 2 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับใครก็ตามที่อยู่ทั่วโลก แล้วถึงวันหนึ่งที่คุณมีสิทธิใช้เสียงอีกครั้งเพื่อพลิกความเจ็บปวดจากนโยบายที่รัฐบาลทั่วโลกกำลังมั่นใจว่ามาถูกทาง แต่ความรู้สึกถูกใจไม่เคยรู้สึกเลย โอกาสในการเลือกกำลังจะมาถึงในอีกไม่ถึง 2 ปีข้างหน้า

กลางปี 2551 คือจุดเริ่มต้นของคนอเมริกันทั้งที่เป็นมนุษย์เงินเดือน คนชั้นกลาง และคนชั้นต่ำกว่าเส้นความยากจน ที่ต้องสัมผัสกับความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของช่วงชีวิตหนึ่งที่เกิดมาเป็นมนุษย์ สำนักงานสำมโนประชากรอเมริกัน พบว่า มีคนอเมริกันมากกว่า 30 ล้านคน นั่นก็หมายถึงมากกว่า 10% ของคนอเมริกันทั่วประเทศ ที่มีสมาชิกในครอบครัว 4 คนขึ้นไป และมีรายได้เฉลี่ยเดือนหนึ่งไม่เกิน 90,000 บาท กำลังไม่มีจะกินมากขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าให้เข้าถึงมากขึ้น นั่นก็หมายถึงคนอเมริกันกว่า 30 ล้านคนมีรายได้สูงกว่าคนจนสุดๆ เพียงแค่หนึ่งเท่าครึ่งเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก้อนหน้านี้ คนอเมริกันกลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าคนจนสุดๆ อย่างน้อยก็ 3 – 5 เท่า แต่วันนี้ นาทีนี้ และวินาทีนี้ คนกลุ่มนี้ คือ คนเคยมีฐานะดีปานกลางไปซะแล้ว ที่น่าสนใจมากๆ และอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในอีกไม่ถึง 2 ปีข้างหน้าอยู่ที่ครึ่งหนึ่งของกลุ่มคนใกล้จนเป็นคนผิวขาวครับ ในขณะเดียวกัน คนอเมริกันที่ยากจนสุดๆ ซึ่งถูกจัดให้อยู่ต่ำกว่าเส้นความจนในช่วงกว่า 5 ปีผ่านมา ก็เปลี่ยนจากยากจนกระจุกมาอดๆ อยากๆกระจาย คนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นถึง 24% เมื่อกลางปี 2551 ถึงทุกวันนี้ ที่น่าสนใจมากที่สุดกับกลุ่มต่ำกว่าเส้นยากจน ก็คือ มีคนยากจนสุดๆเป็นคนผิวขาวถึง 2 ใน 5 คน!

ถอยหลังกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2008 การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 44 ซึ่งบารัค โอบามา คว้าชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศที่มีคนจำนวน 300 ล้านคน เพราะความเจ็บปวดจากวิกฤติเศรษฐกิจที่ปะทุขึ้นอย่างหนักในช่วงปลายวาระของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช วันนั้นในอดีต คนอเมริกันกลุ่มใหญ่ขอลองของใหม่ ขอลองมองข้ามความเป็นผิวสี ขอลองส่งโอกาสแก้วิกฤติคนตกงาน ให้พลิกความเป็นอยู่ให้คนอเมริกันได้ดีขึ้น ในความเป็นจริง คนอเมริกันมีงานทำมากขึ้นก็จริง แต่เป็นงานอาชีพอิสระมากกว่างานประจำ ซึ่งผิดสัดส่วนกันมากเมือเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา ทางสำนักงานสำมโนประชากรอเมริกัน ได้เปิดเผยข้อมูลอีกชุดหนึ่งเป็นที่น่าสนใจอย่างมากว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้วคนรวยอเมริกัน ซึ่งดูจากรายได้ต่อปีมีตั้งแต่ 31 ล้านบาทขึ้นไป หรือตกเดือนหนึ่งมีรายได้ขั้นต่ำ 2.5 ล้านบาทขึ้นนั้น ไปลงคะแนนที่คูหาถึง 80% ยังไม่พอ ครอบครัวอเมริกันที่จบขั้นต่ำระดับปริญญาตรีขึ้นไป ก็ไปใช้สิทธิลงคะแนนมากกว่าครอบครัวที่ต้องเช่าบ้าน บทวิเคราะห์ที่ได้ คือ คนรวยและมีการศึกษาสูง แถมมีส่วนร่วมในด้านการเมืองอีกต่างหาก ล้วนต้องการไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้นำสูงสุดมากกว่าคนยากจนและมีการศึกษาน้อยกว่า เพราะคนรวยอเมริกันต้องการอยากรู้ และมั่นใจว่าจะถูกเก็บภาษีมากน้อยแค่ไหน? เป็นธรรมแค่ไหน? และที่ผ่านมาต้องเจ็บปวดกับการใช้มาตรการภาษี หรือถอนขนห่านมากน้อยอย่างไร? ในเมื่องบประมาณของรัฐบาลอเมริกันใน 4 ปีผ่านมามีแต่พุ่งจนขาดดุลพุ่งขึ้นแตะบนจุดสูงสุดของหน้าผา นี่ขนาดคนรวยอเมริกันถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในช่วง 4 ปีผ่านมา วันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 คือ วันที่คนอเมริกันตั้งแต่สุดรวยมาถึง เกือบจะจนแล้ว และไปสิ้นสุดที่คนอเมริกันสุดจน กำลังจะตัดสินใจยากที่สุดอีกครั้งในชีวิตของตัวเองในอีก 4 ปีข้างหน้า บนนโยบายที่ประกาศชัดแล้วว่า ถอนขนห่านคนรวย? กับคนกว่า 30 ล้านคนกำลังกลายเป็นคนจนรุ่นใหม่? ถ้าโจทย์นี้เกิดขึ้นกับคนไทย คุณเลือกใคร? 


ขอบคุณข้อมูลจาก : บัญชา ชุมชัยเวทย์ จาก thairath.co.th

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มเติมได้ที่ : www.TerraBKK.com

Facebook : TerraBKK Facebook

Google+ : TerraBKK Google+

Twitter : TerraBKK Twitter