เอสเอ็มอีแบงก์ ผนึกกรมบังคับคดี เปิดงานไกล่เกลี่ยหนี้ 2,000 ล้านบาท คาดลูกหนี้เข้าร่วมจำนวนมาก

นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ เอสเอ็มอีแบงก์ เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดงานมหกรรมร่วมใจไกล่เกลี่ยเฉลิมพระเกียรติ 87 พรรษา ร่วมกับกรมบังคับคดี เพื่อเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยหนี้ระหว่าง ธนาคารและลูกหนี้รายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน เนื่องจากที่ผ่านมาศาลได้พิจารณาคดีถึงที่สุดให้ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ คิดเป็น 3,400 ราย มูลหนี้ 2,000 ล้านบาท โดยเริ่มในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9,10 และ 13 ธ.ค.นี้ เวลา 8.30 – 15.30 น. ณ กรมบังคับคดี

ทั้งนี้ คาดว่าผลการเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้ครั้งนี้จำนวนมาก หากลูกหนี้ยังพอมีกำลังที่จะขอชำระหนี้บางส่วนหรือขอปรับโครงสร้างหนี้อีกครั้ง ก็จะส่งผลให้ธนาคารไม่จำเป็นต้องยื่นฟ้องล้มละลายกับลูกหนี้ ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีของลูกหนี้ที่จะได้ประโยชน์ หรือหากลูกหนี้ยังมีธุรกิจรองรับและสามารถปรับโครงสร้างหนี้ใหม่จะส่งผลให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารลดลงด้วย

“การจัดงานดังกล่าว เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้และลูกหนี้ตามคำพิพากษา ได้เจรจาตกลงเรื่องการชำระหนี้ด้วยความพึงพอใจร่วมกันในเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ โดยมีเจ้าหน้าที่จากศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของกรมบังคับคดีเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยซึ่งจะนำไปสู่การงดการบังคับคดี ถอนการยึดทรัพย์ หรือถอนการบังคับคดีต่อไป ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เจ้าหนี้คือธนาคารได้รับการชำระหนี้แล้ว ยังเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของลูกหนี้กลุ่มวิสาหกิจ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปเป็นการลดการสูญเสียของประเทศในภาพรวม”

สำหรับการไกล่เกลี่ยหนี้ดังกล่าว จะเป็นลูกหนี้รายย่อยที่มีเงินต้นไม่เกิน 20 ล้านบาท ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน 11,064 รายคิดเป็นเงินต้นรวม 7,837.92 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน 10,409 ราย เงินต้น 4,069.65 ล้านบาท และหนี้ที่มีหลักประกัน 655 ราย เงินต้น 3,768.27 ล้านบาทโดยคาดว่ากรมบังคับจะส่งจดหมายถึงลูกหนี้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.นี้ เพื่อเชิญลูกหนี้เข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ยกับเจ้าหน้าที่ โดยจะเริ่มจากในเขตกรุงเทพและปริมณฑลก่อน อย่างไรก็ตาม การนัดเจรจาไกล่เกลี่ยกับลูกหนี้ จะแบ่งตามภูมิภาคต่างๆ โดยเริ่มที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลในต้นเดือนธ.ค.57 และขยายไปส่วนภูมิภาคในปี 58 ซึ่งธนาคารคาดว่าจะมีลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จไม่ต่ำกว่า 80% ช่วยดึงวงเงินกลับคืนได้กว่า 5,000-6,000 ล้านบาท