“สิ่งที่เราเผชิญอยู่ในตอนนี้นั้นเหมือนกับสงครามโลก ต่างกันแค่พวกเราทุกคนนั้นอยู่ฝั่งเดียวกันหมด ซึ่งทุกคนนั้นสามารถที่จะร่วมด้วยช่วยกันในการศึกษาเกี่ยวกับโรคนี้ และพัฒนาเครื่องมือที่จะต่อสู้กับมัน และผมเห็นว่านวัตกรรมนั้นจะเป็นคีย์สำคัญที่จะช่วยหยุดยั้งการระบาดนี้ ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้รวมถึง การตรวจสอบ การรักษา วัคซีน และนโยบายที่จะหยุดยั้งการระบาด ในขณะที่จะช่วยลดผลกระทบต่อเศรฐกิจและชีวิตการเป็นอยู่ของผู้คน”

“ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการเกิดขึ้นของนวัตกรรมหลาย ๆ อย่างมากมาย เช่น เรดาร์ ตอร์ปิโด และ เครื่องถอดรหัสที่ช่วยให้สงครามนั้นจบเร็วขึ้น ซึ่งก็เหมือนกันการระบาดที่เราเจออยู่ในตอนนี้” ซึ่งบิลได้ระบุถึง 5 นวัตกรรมที่สำคัญและจำเป็นต่อการช่วยให้การระบาดนั้นจบเร็วยิ่งขึ้น โดยแบ่งออกเป็น การรักษา วัคซีน การตรวจสอบ การติดตาม และนโยบายที่จะช่วยเปิดเศรษฐกิจ

1. ด้านการรักษา

เขานั้นยอมรับว่าวิธีรักษาหลาย ๆ วิธีนั้นจะล้มเหลว แต่เขาก็มองในแง่ดีว่าอาจจะมีวิธีรักษาบางอย่างจากทั้งหมดที่จะช่วยลดโรคโคโรนา ผู้คนนั้นต้องการการรักษาที่มีประสิทธิภาพถึง 95% ที่จะทำให้พวกเขานั้นรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในการกลับมาเข้าร่วมในการรวมตัวหรืออยู่ในที่แออัด เช่น การเข้าร่วมงานฟุตบอล หรือคอนเสิร์ต ซึ่งเขาก็ได้ชี้ถึงการใช้พลาสมาในเลือด, Antibodies, Antivirals และ Hydroxychloroquine ที่มีศักยภาพในการเสริมประสิทธิภาพการรักษา และยังชี้ถึงความจำเป็นที่บริษัทต่าง ๆ นั้นจะเล็งเห็นถึงความสำคัญและให้ความช่วยเหลือในการสร้างการทดลอง เพื่อที่จะให้การรักษาเหล่านี้เป็นจริงได้

2. ด้านวัคซีน

ในทางประวัติศาสตร์ วัคซีนนั้นได้ช่วยชีวิตผู้คนมามากมาย เช่น โรคฝีดาษ ที่ได้คร่าชีวิตคนหลายล้านคนในทุก ๆ ปี แต่ก็ถูกล้มล้างด้วยวัคซีน ซึ่งวัคซีนที่ถูกคิดค้นใหม่นั้นได้ช่วยให้อัตราการเสียชีวิตในวัยเด็กลดลงจาก 10 ล้านคนต่อปีในปี 2000 เหลือแค่ 5 ล้านคนต่อปีในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามแต่ ตามปกติแล้วการคิดค้นวัคซีนใหม่นั้นต้องใช้เวลาถึง 5 ปี ในการพัฒนาและนำออกมาใช้จริง แต่เขานั้นก็คิดในแง่ดีว่า ในการต่อสู้กับ COVID-19 ในครั้งนี้ การคิดค้นวัคซีนใหม่นั้นอาจจะใช้เวลาเพีง 18 เดือน หรืออาจจะเกิดขึ้นเร็วสุด 9 เดือนถึง 2 ปี

3. ด้านการตรวจ

บิล เกตส์นั้นยังได้ชี้ว่าสหรัฐฯ ต้องให้ความสำคัญกับการเร่งตรวจสอบหาเชื้อ COVID-19 ที่สามารถรู้ผลได้ภายในวันเดียว เขายังระบุอีกว่าพนักงานทางการแพทย์นั้นจะต้องสามารถเข้าถึงการตรวจหาไวรัส และผู้ที่ไม่แสดงอาการนั้นก็ควรจะรอให้ผู้ที่แสดงอาการนั้นได้รับการตรวจหาเชื้อก่อน รวมถึงการเข้าถึงการตรวจหาเชื้อจากที่บ้าน โดยเขาชี้ว่าผู้คนนั้นต้องสามารถที่จะตรวจหาเชื้อจากที่บ้านได้ไม่ว่าจะเป็นการตรวจแบบรู้ผลได้เลย หรือการส่งไปตรวจสอบที่แลป

4. ด้านการติดตาม

ผู้คนที่มีการติดต่อกับผู้ที่ติดเชื้อนั้นควรที่จะได้รับการตรวจและถูกแยกตัว ซึ่งเขายังระบุว่า หลาย ๆ ประเทศอาจจะทำตามประเทศเยอรมันที่ได้ริเริ่มการติดตามตรวจสอบ โดยถ้าหากมีผู้ใดมีผลตรวจออกมาเป็นบวก แพทย์นั้นจะต้องแจ้งกับรัฐบาลท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัว ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์  รวมถึงผู้ที่ติดเชื้อนั้นต้องเข้ารับการสัมภาษณ์ โดยจะสอบถามว่าได้ติดต่อหรือพบเจอผู้ใดบ้างใน 1 หรือ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อที่หน่วยงานจะสามารถแจ้งผู้ที่มีการติดต่อกับผู้ติดเชื้อให้ทำการแยกตัว เฝ้าดูอาการ และเข้ารับการตรวจหาเชื้อ โดยจะนำการใช้ Database เข้ามาใช้ เพื่อยืนยันและเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามผู้ป่วย

5. ด้านการกลับมาของการใช้ชีวิตและเศรษฐกิจ

บิล เกตส์เชื่อว่าประเทศที่พัฒนาแล้วหลาย ๆ ประเทศนั้นจะเข้าสู่ช่วงเฟส 2 ของการระบาดในอีกสองเดือนข้างหน้า หรือที่เรียกว่า “Semi-normal” การกลับมาเป็นปกติแบบครึ่งหนึ่ง ที่ผู้คนนั้นจะออกมาข้างนอก แต่จะไม่บ่อย หรือไม่ไปในที่ที่แออัด ผู้คนนั้นจะเว้นระยะห่างเหมือนเดิม หลาย ๆ ประเทศนั้นจะเรียนรู้จากประเทศที่มีการตรวจสอบที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ ที่จะรู้ว่าเวลาไหนประเทศนั้นจะกลับมาเป็นเช่นเดิมได้ และทำให้ผู้คนและธุรกิจนั้นสามารถกลับมาดำเนินต่อได้ 

อย่างเช่นตัวอย่างของ Microsoft ในประเทศจีนที่ค่อย ๆ กลับมาเปิดให้ดำเนินการเช่นเดิม ครึ่งของพนักงาน 6,200 คนนั้นกลับมาทำงานที่ทำงาน และสนับสนุนพนักงานที่ทำงานจากที่บ้าน โดยมีมาตรการรักษาระยะห่าง และรักษาความสะอาด แต่อย่างไรก็ตามแต่การเปิดประเทศตามเดิมก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะพิจารณาบนพื้นฐานของความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น

เขายังได้ทิ้งท้ายไว้ว่า “มันเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ ที่เราได้เห็นโลกของเรานั้นร่วมด้วยช่วยกันในการต่อสู้ในครั้งนี้ ในทุก ๆ วัน เราได้พูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์ บริษัทขนาดเล็ก ซีอีโอของบริษัทเภสัชกรรม ผู้นำรัฐบาล เพื่อที่จะทำให้เครื่องมือเหล่านี้ได้กล่าวมานั้นก้าวสู่ความเป็นจริง และรวมถึงพนักงานทาการแพทย์หลาย ๆ คน ที่เราจะต้องขอบคุณพวกเขาเมื่อการระบาดใหญ่ทั่วโลกในครั้งนี้จบลง”

อ้างอิง: CNBC, GatesNotes

SOURCE : www.techsauce.co