การเดินทางด้วยรถบัสข้ามคืนจากนครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว มายังเมืองวินห์ ประเทศเวียดนาม (Vinh แปลว่า “อ่าว”) เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและได้รับมิตรภาพจากบรรดาผู้โดยสารและเด็กรถอย่างน่าประทับใจไม่มีวันลืม ช่วยให้ร่างกายไม่อ่อนเพลียจนเกินไปนัก และที่ผมแวะค้างคืนที่เมืองวินห์ก็ด้วยเหตุผลเดียวคือไม่อยากนั่งรถบัสยาวนานหลายชั่วโมงจากเวียงจันทน์รวดเดียวไปฮานอย ซึ่งเป็นวิธีที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือก

เมื่อนอนพักในโรงแรมได้ครู่หนึ่งก็เรียกแทกซี่ไปยังสถานีรถไฟเมืองวินห์เพื่อจองตั๋วขึ้นฮานอยสำหรับวันถัดไป โชเฟอร์แท็กซี่เคยทำงานอยู่ประเทศลาวมาก่อนจึงสื่อสารกันเข้าใจง่ายไม่ยากเย็น ราคาตั๋วรถไฟจากเมืองวินห์ไปฮานอย ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร ราคาสำหรับชั้น 2 แบบเบาะนุ่ม (Soft Seat) มีเครื่องปรับอากาศ ตกอยู่ที่ประมาณ 700 บาท

ได้ตั๋วรถไฟแล้วก็กินเฝอที่ร้านตรงข้ามสถานีและน้ำอ้อยที่หีบสดๆ จากต้นเป็นมื้อเย็น แล้วเดินไปตามถนน แวะดูฟุตบอลลีกอังกฤษที่บาร์เบียร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง เมื่อจบคู่แรกก็เดินต่อไปดูคู่สองอีกร้านหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร จากนั้นเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม โชเฟอร์พูดภาษาอังกฤษพอฟังเข้าใจได้ว่า “ผู้หญิงเวียดนามคนละ 2 แสนดอง” (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 350 บาท) ผมได้แต่รับทราบเป็นข้อมูล

วันต่อมา ที่สถานีวินห์ ขณะรอขบวนรถไฟ มีโอกาสได้สนทนากับหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งที่กำลังจะโดยสารรถไฟขบวนเดียวกัน ผมขอให้เขาสอนภาษาเวียดนามง่ายๆ สามสี่ประโยคที่คิดว่าจำเป็น หนึ่งในนั้นคือ “ราคาเท่าไหร่” เมื่อผมจำเอาไปใช้ก็พบว่าเป็นประโยคที่สร้างความปวดหัวให้มากกว่าเป็นประโยชน์ เพราะแม่ค้าจะตอบกลับมาเป็นภาษาเวียดนาม ซึ่งเราไม่เข้าใจ ต้องขอให้เขาตอบกลับมาใหม่เป็นภาษาอังกฤษอยู่ดี

เวลาประมาณ 9.30 น. รถไฟก็เข้าเทียบชานชาลาและออกจากสถานี ในตู้รถไฟมีโทรทัศน์ให้ดูหลายเครื่อง ช่วงปลายเดือนกันยายนมีแต่ข่าวฝนตกน้ำท่วมในหลายภูมิภาคของประเทศ ผมนั่งข้างป้าคนหนึ่ง แกยื่นฝรั่งให้ 1 ลูก ผมรับมาแล้วกล่าว “ก่าม เอิ๊น” ขอบคุณ คุณป้าพูดกลับมาเป็นภาษาเวียดนามอีกหลายชุด แม้ว่าผมไม่ได้ตอบโต้อะไร แกก็ยังสนทนาฝ่ายเดียวต่อไปจนถึงปลายทางที่สถานีไม่ทราบชื่อแห่งหนึ่ง

รถไฟใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงก็ถึงสถานีฮานอย ซึ่งมีขนาดใหญ่โตพอประมาณ และผู้คนขวักไขว่ ใช้บริการกันหนาแน่นกว่าหัวลำโพงบ้านเรา ผมเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งไม่มีเสื้อวินหรือยูนิฟอร์ม ตกลงราคากันที่ 50,000 ดอง หรือประมาณ 70 บาท (1 บาทไทยแลกได้เกือบ 700 ดอง) ผจญการจราจรแบบฉวัดเฉวียนและเวียนหัวอยู่ไม่นาน มอเตอร์ไซค์ก็มาส่งที่หน้าโรงแรมเล็กๆ ชื่อ Camelia 3 ในย่านเมืองเก่า (Old Quarter) พี่วินบอกว่า 100,000 ดอง ผมจ่ายไปแค่เท่าที่ตกลงกันไว้ พี่วินรับเงินแล้วขี่ออกไปทำมาหากินรอบใหม่

โรงแรมแห่งนี้ผมยังไม่ได้จอง เพียงแต่ปรินต์ที่อยู่มาจากเว็บไซต์เพื่อแสดงแก่คนขับมอเตอร์ไซค์สำหรับพาตัวเองเข้าเมืองมาก่อนเท่านั้น แต่เมื่อพบการต้อนรับที่อบอุ่นจากพนักงานสาวรูปร่างอวบ (ไปทางอ้วน) คนแรกที่เจอในเวียดนาม (หาคนอ้วนในเวียดนามได้ค่อนข้างยาก) จึงตัดสินใจเช็คอินทันที ในราคาเยาแค่ 17 ดอลลาร์ (สหรัฐฯ) พร้อมอาหารเช้า

เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วลงมายังฟรอนต์ของโรงแรมเพื่อสอบถามหาร้านสำหรับอาหารเย็น พนักงานสาวอวบอารมณ์ดีคนเดิม ชื่อ “ฮา” หยิบแผนที่ออกมาแล้วอธิบายตำแหน่งแห่งหนของย่านต่างๆ บอกสถานที่ทำกิจกรรมยามเย็นของคนหนุ่มสาว และแนะนำร้านอาหาร พร้อมเอาปากกาขีดลากลงไปในแผนที่อย่างจริงจัง เหมือนทำหน้าที่มัคคุเทศก์ไปในตัว ผมรับแผนที่มาแล้วกล่าว “ก่าม เอิ๊น เวรี่ มัช” เธอหัวเราะก่อนตอบว่า “ยู อาร์ เวลคัม” ด้วยความยินดี

เพราะความหิวอย่างหนัก ผมไม่ได้เดินไปยังร้านอาหารที่ฮาแนะนำ เมื่อเจอร้านคล้ายๆ ข้าวราดแกงบ้านเราก็เข้าไปชี้กับข้าวจำนวน 5 อย่าง แม่ค้าตักราดโปะมาบนข้าว พร้อมซุปผัก 1 ถ้วย รสชาติดีเหลือเชื่อ ทั้งหมดนี้ราคาแค่ 35,000 ดอง หรือประมาณ 50 บาทเท่านั้น แล้วไปสั่งน้ำมะพร้าวมานั่งดื่ม 1 ใบในร้านใกล้ๆ กัน ราคาใบละ 30,000 ดอง

เมื่ออิ่มท้องแล้วก็เดินกลับโรงแรมที่พัก นั่งดูข่าวจากช่องข่าวภาษาอังกฤษรอข้าวเรียงเม็ด แล้วจึงออกไปเดินอีกรอบเพื่อเสาะหาเบียร์เฮย (Bia Hoi) อันเป็นอัตลักษณ์ของเบียร์สดแบบฉบับเวียดนาม เป็นเบียร์ที่ใช้ข้าวขาวเป็นวัตถุดิบหลัก ทำวันต่อวัน แอลกอฮอล์ต่ำ ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ ราคาแก้วละ 5,000 – 10,000 ดองเท่านั้น นิยมดื่มพร้อมกับอาหารที่ขายกันตามร้านที่มีโต๊ะเตี้ยๆ เก้าอี้ตัวเล็กๆ ซึ่งล้วนล้ำออกมาบนฟุตบาท มีให้เห็นทั่วหัวมุมถนน แต่ย่านที่ได้รับความนิยมจากคนหนุ่มสาวอยู่บนถนน Ta Hien ตัดกับถนน Luong Ngoc Quyen

ผมเดินออกมาจากโรงแรมได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีคนขี่มอเตอร์ไซค์ตามและชักชวนให้เที่ยวผู้หญิง บอกไปว่าไม่สนใจ หนุ่มมอเตอร์ไซค์ก็ยังไม่ละความพยายาม ตามจนผมรำคาญแวะเข้าไปดื่มที่ร้านหัวมุมถนนของสี่แยกขนาดใหญ่ ชื่อ Café Pho Co เป็นร้านสไตล์ตะวันตก จัดร้านได้โปร่งโล่ง สวยงามลงตัว บรรยากาศเป็นกันเอง มองออกไปฝั่งตรงข้ามคือตึกสูง 5 ชั้น แต่ละชั้นล้วนเป็นร้านอาหารแบบมีระเบียงไว้ชมวิว มองเยื้องไปทางขวาคือวงเวียนน้ำพุ และภาพเบื้องหลังน้ำพุคือทะเลสาบหว่านเกี๋ยม (Hoan Kiem Lake)

เดิมทีทะเลสาบแห่งนี้ชื่อ “ทุย กวน” เล่าขานกันเป็นตำนานว่าวันหนึ่งกษัตริย์ “เล เหล่ย” ของเวียดนามได้เสด็จมาตกปลากับพระสหาย และตกได้แท่งเหล็กที่ส่องประกายเจิดจ้า จึงนำไปหล่อเป็นดาบและนำไปใช้ในการยุทธต่อต้านการรุกรานของกองทัพจีนจนสำเร็จ เมื่อสันติภาพคืนสู่แผ่นดิน ในปี ค.ศ. 1428 พระองค์เสด็จมายังทะเลสาบอีกครั้ง เต่าตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาและขอดาบคืนให้กับพญามังกร ดาบพุ่งออกจากฝักสู่ปากเต่า และเต่าตัวนั้นก็ดำดิ่งหายไป ทะเลสาบนี้จึงถูกเรียกขานใหม่ว่าทะเลสาบหว่านเกี๋ยม หรือ “ทะเลสาบคืนดาบ”

ผมดื่มเบียร์ฮานอยไป 1 ขวดเล็ก เดินออกมาหวังจะไปยังถนน Ta Hien เพื่อตามหาเบียร์เฮยที่เขาร่ำลือ ปรากฏว่ามอเตอร์ไซค์คันเดิมขี่มาดักหน้าอีก คงคาดหวังกับผมเอาไว้มาก เข้ามาพูดในเชิงชักชวนแนะนำแกมอ้อนวอน แล้วตบท้ายคล้ายออกอาการข่มขู่ ผมจึงกลับหลังหันเดินกลับโรงแรม

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมที่ทำหน้าที่อื่นด้วย เช่น ทำความสะอาด ไปจนถึงทำอาหารเช้า ชื่อ “แซบ” เข้ามาคุยกับผมที่ล็อบบี้ เล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งทำงานเป็นกุ๊กร้านอาหารอยู่ในกรุงเทพฯ แบบผิดกฎหมาย เธอทำเฉพาะตอนกลางคืน ไม่กล้าทำกลางวันเพราะกลัวถูกตำรวจจับ

แซบบอกว่าที่จริงการขายบริการได้ถูกรัฐบาลออกมาตรการกวาดล้างออกไปจากย่านเมืองเก่ามาได้สักพักแล้ว แต่ยังคงมีอยู่บ้างเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจหาลำไพ่พิเศษ

แซบไม่ชอบตำรวจ เขาอธิบายให้ฟังพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของตำรวจหลายเรื่อง ที่ผมจำได้แม่นคือตำรวจชอบจับคนขับขี่มอเตอร์ไซค์ชาวเวียดนามที่ไม่สวมหมวกกันน็อค แต่ไม่ยอมจับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพราะตำรวจพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ จะเรียกเก็บค่าปรับจากนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวก็ไม่เข้าใจ ทำให้เสียเวลา

ที่เมืองโฮจิมินห์ ผมก็ประสบกับปัญหาการเสนอขายเชิงรุกเช่นกัน เป็นการเสนอขายแบบไม่ผ่านนายหน้าโดยผู้ขายเอง เหตุเกิดในย่านถนน “ฟ่าม งู หลาว” ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ ถนนข้าวสารบ้านเรา ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาเสนอขาย พอผมปฏิเสธก็ถามกลับมาว่า “คุณไม่ชอบผู้หญิงเวียดนามหรือไร?” ผมตอบไปว่า “วันนี้เพลียมาก” แล้วก็มีผู้หญิงอีกคนเดินเข้ามาประกบ เท่ากับพวกเธอยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของตัวผม มือไม้เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข รุมกันจับแขนจับขา จนผมต้องผลักที่ไหล่ไปเบาๆ พวกเธอถึงได้หยุดการโจมตี สำรวจกระเป๋าเงินและโทรศัพท์พบว่ายังอยู่ครบแล้วเดินจากมา เมื่อใกล้ถึงที่พักก็มีสตรีขี่มอเตอร์ไซค์ตามเสนอขายอีกหนึ่งนาง ผมตอบไปเหมือนเดิมว่าเพลีย เธอก็ถามกลับมาเหมือนคนแรกว่า “คุณไม่ชอบผู้หญิงเวียดนามหรือไร?” พอดีกับที่ผมเดินเข้าโรงแรมที่พักไป

การมาเยือนประเทศเวียดนาม (ฮานอย) ครั้งต่อมาของผม มีเพื่อนร่วมคณะมาอีก 4 คน เราไม่ค่อยมีปัญหากับการถูกติดตามเสนอขายจนน่าเบื่อหน่ายรำคาญนัก สรุปได้ว่าเวียดนามในยามกลางคืนอยู่กันเป็นกลุ่มจะปลอดภัยและสบายใจกว่า ไม่เหมาะกับการเดินคนเดียว

นอกเสียจากว่าคุณกล้าพอที่จะตวาดไล่เจ้าถิ่นผู้เอาจริงเอาจังในการงานด้านมืดชนิดนี้.

ขอบคุณข้อมูลจาก thaipost จากหัวข้อข่าว : การค้าเชิงรุกบางชนิดใน เวียดนาม