ในการลงทุนนั้น ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ของภาวะเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของประเทศหรือตลาดที่เราลงทุนอยู่

หรือที่เราจะเข้าไปลงทุนตลอดเวลา ถ้าเรามีข้อจำกัดว่าเราคงต้องลงทุนในประเทศไทยเป็นหลักเนื่องจากเหตุผลบางประการ เช่น เรายังมีความรู้ไม่พอในตลาดของประเทศอื่น สิ่งที่เราจะต้องดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็คือ ภาพของประเทศไทยในอนาคตทั้งระยะสั้นและระยะยาว หลังจากนั้นก็จะต้องดูว่าดัชนีหุ้นอาจจะเป็นอย่างไรในอนาคต อาจจะซัก 4-5 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย นอกจากนั้น เราก็ต้องดูว่าหุ้นในพอร์ตที่เราถืออยู่นั้นจะขึ้นหรือลงในสถานการณ์อย่างนั้น ในการวิเคราะห์นั้น เพื่อที่จะให้เห็นภาพที่กว้างและไม่ให้เรา “ติดยึด” ว่ามันเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างจริงแท้แน่นอนซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมากในการลงทุน เราก็ควรที่จะ “วาดภาพในอนาคต” เป็นหลาย ๆ ภาพหรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่าหลาย ๆ Scenario แล้วก็ดูถึง “โอกาสความเป็นไปได้” ของแต่ละภาพ เสร็จแล้วเราก็จะต้องกำหนดกลยุทธการลงทุนของเรา

สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของเราในปัจจุบันนั้น ต้องบอกว่าอยู่ในอาการที่ไม่ดี หรือถ้าจะพูดว่าเลวร้ายพอสมควรก็ไม่น่าจะผิดนัก การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเราต่ำมากเกือบ 0% ในปีที่แล้วทั้ง ๆ ที่ไม่มีภาวะวิกฤติในระดับโลก นี่เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก ผมเองยังจำได้ว่าถ้าเป็นในสมัยก่อนที่ผมยังหนุ่มและเศรษฐกิจไทยกำลังโตวันโตคืนเฉลี่ยปีละถึง 7% นั้น ปีที่ไทยโต 4% ถือว่าเป็นปีที่แทบจะเรียกได้ว่าเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คนเดือดร้อนกันไปทั่ว ข้ออ้างที่ว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดีทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ไปด้วยในช่วงนี้นั้นก็พอฟังได้บ้าง แต่มันก็ไม่สามารถหักล้างข้อเท็จจริงที่ว่า เศรษฐกิจไทยอาจจะกำลังเริ่มชะลอตัวอย่างถาวรด้วยเหตุผลทางด้านโครงสร้าง เช่น อายุของประชากรหรือความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะว่าประเทศที่กำลัง “โตวันโตคืน” อย่างพม่าหรือ เวียตนามนั้น แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะแย่และคนเวียตนามจะบ่นว่า เศรษฐกิจในประเทศ “ตกต่ำ” นั้น ปีที่แล้วเขาก็ยังโตกว่า 5%

สถานการณ์ทางด้านสังคมและการเมืองของไทยเองนั้นก็อยู่ในภาวะที่ไม่ดี ความแตกแยกกันทางความคิดมีอยู่สูงกว่าช่วงปกติ ทางด้านการเมืองนั้นเองก็ยังอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติ ถ้าจะเปรียบเทียบกับโลกแล้ว เราน่าจะอยู่ในกลุ่มท้าย ๆ ของตารางทางด้านของพัฒนาการทางสังคมและการเมืองทั้ง ๆ ที่เราเคยได้รับการมองว่าเป็นประเทศและสังคมที่ค่อนข้างจะเปิดและปรับตัวเข้ากับโลกได้ดีประเทศหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสถานะปัจจุบันก็คืออนาคต ภาพหรือ Scenario ที่คนส่วนใหญ่มองก็คือ ใช่! เรากำลังแย่ทุกด้าน แต่ทุกอย่างก็อาจจะกำลังดีขึ้น เศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น สังคมและการเมืองก็น่าจะปรับตัวดีขึ้น และเนื่องจากมันแย่มาก ดังนั้น มันก็จะดีขึ้นมาก เศรษฐกิจจะเติบโตขึ้นถึงประมาณ 4% สังคมและการเมืองก็กำลังถูก “ปฏิรูป” ให้ดีขึ้น ดังนั้น ภาพอนาคตก็จะดีขึ้นไม่ใช่แย่ลง แต่นั่นสำหรับผมก็เป็นเพียง Scenario หรือภาพหนึ่ง เราจำเป็นต้องคิดถึงภาพอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อาจจะเป็นภาพที่ “ทรง ๆ” คือเศรษฐกิจไม่ได้โตขึ้นขนาดนั้นเช่นเดียวกับสังคมและการเมือง หรืออาจจะเป็นภาพที่ “แย่ลงไปอีก” คือเศรษฐกิจก็ยังไม่โตและสังคมและการเมืองก็ไม่ดีขึ้นในอนาคตอย่างน้อย 2-3 ปีข้างหน้า แม้ว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นอาจจะไม่มากนัก

ประเด็นต่อมาก็คือเรื่องของดัชนีหุ้นในอนาคต ซึ่งโดยทั่วไปนั้นก็ควรจะปรับตัวล้อไปกับภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในอนาคต และความถูกความแพงของหุ้นในปัจจุบัน ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นมากในอนาคตและหุ้นในปัจจุบันมีราคาถูกมาก โอกาสก็เป็นไปได้มากว่าดัชนีหุ้นในอนาคตจะปรับตัวขึ้นไปได้ดีมาก และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจของไทยหลังปี 2542-43 และอีกครั้งหนึ่งหลังวิกฤติของอเมริกาในปี 2009 แต่ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นมากในอนาคตแต่หุ้นในปัจจุบันแพง ดัชนีก็อาจจะยังปรับตัวขึ้นได้แม้ว่าการปรับตัวขึ้นอาจจะไม่มากนักอาจจะซักปีละ 10% ใน 2-3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ถ้าหากภาพใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมืองไม่ได้ดีขึ้นในอนาคตแต่หุ้นในปัจจุบันแพง ดัชนีตลาดหุ้นก็อาจจะนิ่งหรือตกลงมารุนแรงได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าภาพใหญ่แย่ลงไปอีก

ในความรู้สึกของผมเองนั้น ผมคิดว่าหุ้นไทยในปัจจุบันนั้นค่อนข้างแพง ดังนั้น แม้ว่าภาพใหญ่ของเศรษฐกิจในอนาคตจะดีขึ้น โอกาสที่หุ้นจะให้ผลตอบแทนสูงมากอย่างในอดีตก็อาจจะยาก ผมเองคิดว่าดัชนีหุ้นโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 10% ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าน่าจะเป็นจุดสูงสุดที่เราจะคาดได้ และนี่ก็คือ Scenario ที่ดีที่สุดของผม

ภาพที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นไปได้มากกว่าก็คือ ภาพใหญ่ของไทยนั้น อาจจะไม่ค่อยสดใสนัก เศรษฐกิจก็โตขึ้นบ้างแต่ไม่สูงในอนาคตหลายปีข้างหน้า แต่เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยในปัจจุบันค่อนข้างสูงโอกาสก็เป็นไปได้ว่าหุ้นในอีกหลายปีข้างหน้าก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวแม้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ค่า PE ของหุ้นจะลดลงจากระดับ 20 เท่าในปัจจุบันเหลือเพียง 10 เท่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้า นั่นก็คือสิ่งที่เราจะเห็น อย่างไรก็ตาม จากวันนี้ถึงอีก 4 ปี ข้างหน้า ดัชนีหุ้นอาจจะวิ่งขึ้นลงผันผวนทุกปีแต่สุดท้ายก็ไปไม่ไกลเนื่องจากพื้นฐานและราคาของหุ้นไม่เอื้ออำนวย ตลาดแบบนี้เราเรียกว่า Sideway Market นักลงทุนระยะยาวทำกำไรได้ยาก

ถ้าภาพใหญ่ของไทยเลวร้ายลงอีกในหลายปีข้างหน้า และด้วยดัชนีหุ้นที่ค่อนข้างแพง ก็เป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่ภาวะตลาดหมี คือหุ้นจะลดลงในระยะยาวอีก 3-4 ปีข้างหน้า คนที่ลงทุน ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือยาวก็จะ “เจ็บตัว” อย่างหนัก ความสนใจในหุ้นของคนไทยก็จะหมดไป ปริมาณการซื้อขายที่สูงลิ่วในปัจจุบันก็จะหายไปและถูกแทนที่ด้วยความซบเซาของการซื้อขายหุ้น การลงทุนในหุ้นก็จะเป็นเรื่องของคนที่ กล้าได้กล้าเสียและกล้าเสี่ยงไม่ใช่เรื่องของคนธรรมดาที่ลงทุนเพื่อชีวิตที่มั่นคงอย่างที่อาจจะเป็นบ้างในช่วงนี้

แน่นอนว่ามี Scenario อื่นอีกหลายอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ผมเองดูว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยจึงไม่ได้พูดถึง นักลงทุนคงต้องวิเคราะห์เอง ส่วนตัวผมนั้นมองว่าโอกาสที่เป็นไปได้สูงก็คือ ดัชนีหุ้นไทยถ้ามองไปข้างหน้า 3-4 ปี อาจจะไปได้ไม่ไกล ในระหว่างทางนั้น ในภาพหนึ่งก็คือ ดัชนีไป Sideway ไม่ได้ขึ้นหรือลงหนักมาก ในอีกภาพหนึ่งก็คือ ดัชนีหุ้นตกหนักมากแม้ว่าอาจจะไม่ถึงกับวิกฤติเนื่องด้วยเหตุการณ์บางอย่างที่คาดการณ์ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในที่สุดหุ้นก็ปรับตัวกลับขึ้นมาใกล้เคียงกับดัชนีในวันนี้ใน 3-4 ปีข้างหน้า และนี่ต้องบอกอีกครั้งหนึ่งว่ามันเป็นการ “คาดเดา”

กลยุทธ์การลงทุนของผมนั้น แน่นอน ไม่ได้มองเฉพาะตลาดหุ้น เพราะผมเองไม่มีความสามารถในการลงทุนได้ทั่วโลก ดังนั้น ผมต้องดูสถานการณ์การลงทุนอย่างอื่นเช่น ดอกเบี้ย พันธบัตร หุ้นกู้ หรือการลงทุนทางเลือกอย่างอื่นในประเทศไทยด้วย น่าเสียใจที่ว่าการลงทุนทางเลือกอย่างอื่นนั้น มีสภาพที่แย่พอ ๆ กับการลงทุนในตลาดหุ้นหรือแย่กว่า นี่ก็เป็นความลำบากและ “อึดอัด” ใจของผมในการลงทุนในช่วงนี้ ผมคิดว่าการลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องที่อันตรายและโอกาสได้ผลตอบแทนสูงทำได้ยาก ในขณะเดียวกัน การลงทุนในสิ่งอื่นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ดังนั้น ผมจึงเลือกที่จะ “รอ” โดยเตรียมเงินสดเอาไว้บ้างเพื่อที่จะได้ “ฉกฉวยโอกาส” ในกรณีที่เกิดเหตุหรือสถานการณ์ที่ทำให้หุ้นตกลงมาจนคุ้มที่จะลงทุน แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดหรือไม่ และถ้าเวลาผ่านไปนาน ๆ ต้นทุนในการถือเงินสดก็จะ “ท่วม” คิดแล้วก็รู้สึกอิจฉาเพื่อนนักลงทุนต่างชาติของผมบางคนที่เขาสามารถไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ