“ซีคอน” รุกตลาดรับสร้างบ้านปี 66 ส่ง 3 กลยุทธ์เสริมความยั่งยืน เดินเกมรุกครบเครื่อง พร้อมทุ่มงบ 120 ล้านบาท ปักหมุดย่านลำลูกกา สร้างโรงงานใหม่ผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปแห่งใหม่บนพื้นที่กว่า 26 ไร่ มั่นใจเพิ่มกำลังการผลิตได้ 1.2 แสนต่อปี รองรับการสร้างบ้านได้ถึง 800-900 หลัง  มั่นใจปีนี้ดันยอดขายทะลุ 2.5 พันล้าน

นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านคาดว่าในปี 66 มูลค่ารวมของตลาดรับสร้างบ้านจะอยู่ที่ 13,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปี 65 ซึ่งจากแนวโน้มของตลาดรับสร้างบ้านที่เติบโตต่อเนื่อง ทำให้ปีนี้ซีคอนมีแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปแห่งที่ 2 ทำเลลำลูกกาคลอง 12 บนเนื้อที่กว่า 26 ไร่ มูลค่า 120 ล้านบาท โดยตั้งเป้าการผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปแบบเต็มกำลังการผลิตไว้ที่ จำนวน 120,000 ชิ้นต่อปี ซึ่งรองรับการสร้างบ้านได้ราว 800-900 หลัง  ทั้งนี้ในระยะแรก (เฟสที่ 1) จะผลิตประมาณ 60,000 ชิ้น ต่อปี เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต

ทั้งนี้ในปี 66 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ราว 2,500 ล้านบาท โดยใช้ 3 กลยุทธ์หลักๆ คือ กลยุทธ์ความยั่งยืน (Sustainability) ผ่านการใช้วัสดุที่มีคุณภาพ มีการรับรองเรื่อง Carbon Footprint และนวัตกรรมสินค้าปลอดสารก่อมะเร็ง พร้อมนวัตกรรมบ้านระบายอากาศ SEACON Cool & Clean System ให้ในบ้านได้รับอากาศเย็นสดชื่นตลอดเวลา พร้อมบริการติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน

นอกจากนี้ยังเน้นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่ ผ่านการทำ content ลงในสื่อออนไลน์ เพื่อให้ความรู้ ความบันเทิง และสอดแทรกโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้า ส่วนช่องทางออฟไลน์ยังคงเป็นช่องทางหลัก ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง ซึ่งในปี 66 นี้ซีคอนเตรียมเข้าร่วมกับ 2 งานใหญ่ คือ งานรับสร้างบ้าน และวัสดุ Focus 2023” วันที่ 8 - 12 มี.ค. 66 ณ อิมแพค เมืองทองธานี Hall 6 และ “งานบ้านและสวน Select 2023” วันที่ 18 - 26 มี.ค.66 ณ ไบเทค บางนา

ด้านสินค้า ปีนี้มีการพัฒนาแบบบ้านใหม่ สไตล์โมเดิร์นมินิมอล ซึ่งเป็นเทรนด์บ้านยอดนิยมในปัจจุบัน  โดยจุดเด่น คือ เป็นแบบบ้านที่ความเรียบง่าย เน้นโทนสีอ่อน โชว์รูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้าน ผสานความทันสมัยไว้อย่างลงตัว

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 65 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 1,920 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 64 ราว 50 ล้านบาท  ขณะที่สัดส่วนยอดขายมาจากฐานลูกค้าที่มีความต้องการบ้านขนาดใหญ่ และบ้านขนาดกลางเป็นหลัก คือ

50% เป็นบ้านขนาดใหญ่ ราคาบ้าน 8 – 50 ล้านบาทขึ้นไป มีพื้นที่ใช้สอย 351 ตร.ม. ขึ้นไป

35% เป็นบ้านขนาดกลาง ราคา 5 – 7.9 ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอย 200 - 350 ตร.ม.  

และอีก 15% เป็นบ้านขนาดเล็ก ราคา 2 – 4.9 ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอย < 200 ตร.ม.

 

ทั้งนี้ หลังจากโควิด-19 คลี่คลาย ทำให้ความต้องการสร้างบ้านขนาดเล็กเริ่มกลับมามากขึ้น ทำให้ภาพรวมในปี 65 สามารถทำยอดเซ็นสัญญาได้ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา

 

ตัวอย่างแบบบ้านใหม่

แบบที่ 1 แบบบ้าน : Minimal 1092 ที่เรียบง่ายแต่หรูหรา โดยที่ชั้นล่างเป็นลักษณะ open แปลนออกแบบฟังก์ชันให้มีความต่อเนื่อง ไม่มีผนังมากั้นขวาง อีกทั้งยังใช้บานหน้าต่างที่สูงถึงชั้นบนทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ทำให้พื้นที่มีความโปร่ง สบาย สามารถสัมผัสถึงธรรมชาติรอบบ้านได้อย่างลงตัว ซึ่งแบบบ้านนี้ประกอบด้วย ห้องนอน จำนวน 4 ห้อง ห้องน้ำ 5 ห้อง จอดรถได้ 4 คัน โดยที่จอดรถแยกออกจากตัวบ้านทำให้ใช้งานตัวบ้านได้อย่างเต็มพื้นที่

แบบที่ 2 แบบบ้าน : Minimal 1256 การออกแบบภายนอกตัวบ้านคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย หน้าต่างดีไซน์ให้มีช่องเปิดขนาดใหญ่ เพื่อช่วยดึงแสงจากธรรมชาติเข้าไปยังบริเวณห้องต่าง ๆ ทำให้ตัวบ้านดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ภายในออกแบบให้มีฟังก์ชันครบถ้วน ทั้งส่วนพักผ่อน นั่งเล่น และเตรียมอาหาร มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง เปิดโล่งแบบ open แปลนเชื่อมโยงกับฟังก์ชันต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว ซึ่งแบบบ้านนี้ประกอบด้วย ห้องนอน จำนวน 4 ห้องนอน ห้องน้ำ 5 ห้อง จอดรถได้ 4 คัน โดยที่จอดรถจะเชื่อมต่อกับตัวบ้าน และพื้นที่เก็บของขนาดใหญ่ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้อยู่อาศัยอย่างเต็มที่

นายสุรเชษฐ์ สายนุช ผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติการ บริษัท ซีคอน จำกัด กล่าวว่า ในส่วนของ SEACON ID หลังจากเปิดตัวมาได้ 3 ปี  ได้รับการตอบรับที่ดี โดยเน้นไปที่การสร้างบ้านตามแบบของลูกค้า ซึ่งเลือกได้ทั้งการออกแบบตามแบบที่ลูกค้าต้องการ และ บริการแบบ SEACON ID Turn Key โดยลูกค้าหลักของ SEACON ID เป็นกลุ่มราคาบ้าน 20 ล้านบาทขึ้นไป  เพราะลูกค้ามีความต้องการพิเศษ สำหรับปี 66  มีแผนขยายฐานลูกค้าไปในต่างจังหวัดมากขึ้น ตามความต้องการของลูกค้า