“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศแผนธุรกิจปี 2566 เตรียมเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง 10 - 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขายที่ 8,600 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 6,850 ล้านบาท ขยายตัว 10% 

 

นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวว่า ในปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมของไทยจะขยายตัวได้ราว 3.6 – 4.0% แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงจาก Recession ของเศรษฐกิจยุโรป และสหรัฐฯ  ความเสี่ยงที่เกิดจากเรื่องภูมิรัฐศาสตร์   ในขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ  ภาระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของภาระดอกเบี้ย  ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์  ซึ่งเป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในปี 2566 นี้

ซึ่งภาคอสังหาฯ ยังคงได้ปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถึงสิ้นปี 2566 รวมถึงการฟื้นตัวของลูกค้าที่ทำงานในกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกจำกัดการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ทำให้บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในแผนการดำเนินธุรกิจ โดยเดินหน้าสู่การเป็น National Property Company เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 10 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท ในโซนกรุงเทพฯ – ปริมณฑล เน้นเจาะลูกค้ากลุ่มเรียลดีมานด์ ในกลุ่มบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ระดับราคา 2-9 ล้านบาท โดยจะทยอยเปิดโครงการใหม่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป พร้อมวางงบซื้อที่ดินในปีนี้ราว 1,500 -1,600 ล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาโครงการใหม่ต่อเนื่องในปีนี้

อย่างไรก็ดีอยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยแก้ปัญหาด้านแรงงาน จากปัญหาขาดแคลนแรงงานในช่วงหลังโควิด ทำให้การก่อสร้างไม่เป็นไปตามแผน พร้อมเสนอให้รัฐบาลควรเปิดให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาซื้อที่ดิน หรือบ้านแนวราบในโครงการจัดสรรในไทยได้ โดยคัดเลือกกลุ่มนักลงทุนที่มีคุณภาพเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในด้านเทคโนโลยี เป็นต้น  

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวว่า สำหรับแผนการตลาด ในปี 2566 นี้  จะใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้น Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing    โดยต่อยอดการทำตลาดผ่านช่องทาง Digital ที่เพิ่มมากขึ้น  เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มมากขึ้น และมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น  โดยนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights   ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็น Real Demand   โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในรูปแบบของ New Design และ Smart Function ของตัวบ้าน   โดยช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทเป็นรายแรกที่นำรูปแบบความงดงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่เรียบหรู มาออกแบบบ้านสไตล์ฝรั่งเศสแบบ French Colonial Style บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่คุ้มค่า และจับต้องได้

ในส่วนของสถานะการเงิน บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งอย่างมาก โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.55 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.4 – 1.5 เท่า  โดยในปี 2566 นี้ บริษัทฯพร้อมปรับเพิ่มงบซื้อที่ดินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจตามแผนงาน และการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ