กองทรัสต์ S Prime Growth Leasehold Real Estate Investment Trust (SPRIME) เดินหน้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 เข้าลงทุนในทรัพย์สินคุณภาพ 2 โครงการ “อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ และ ซันทาวเวอร์สรีเทล” มูลค่าลงทุนรวมไม่เกิน 6,113 ล้านบาท เป็นการลงทุนในโครงการมิกซ์ยูสที่มีศักยภาพในระดับพรีเมียมอยู่ในทำเลศูนย์กลางธุรกิจ ใกล้รถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดิน โดดเด่นด้วยอัตราการเช่าพื้นที่อยู่ในระดับสูง พร้อมประเภทธุรกิจของผู้เช่าที่หลากหลายและมีการต่อสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดยการลงทุนในครั้งนี้จะยกระดับ SPRIME ให้เป็นกองทรัสต์ประเภทอาคารสำนักงานชั้นนำในไทย ดันมูลค่าทรัพย์สินรวมเกินกว่า 10,000 ล้านบาท พร้อมมองภาพรวมกองทรัสต์กลุ่มอาคารสำนักงานคุณภาพยังมีดีมานด์แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในอาคารสำนักงานที่เป็นโครงการมิกซ์ยูส มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถรองรับการทำงานในรูปแบบ Hybrid มีพื้นที่รีเทลทันสมัย สะอาด ปลอดภัย ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสถานการณ์  COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลาย มั่นใจรายได้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หนุนประมาณการผลตอบแทนปีแรกหลังเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้เพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 0.632 บาทต่อหน่วย

นายอรรชวิชย์ สิงห์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส รีท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) เปิดเผยว่า กองทรัสต์ SPRIME ได้เดินหน้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ในทรัพย์สินใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพการสร้างรายได้และการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้แก่กองทรัสต์ ประกอบด้วย 1) การเข้าลงทุนในสิทธิการเช่าอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งมีพื้นที่ให้เช่าประมาณ 47,625 ตารางเมตร เป็นระยะเวลา 30 ปี และ 2) สิทธิการเช่าพื้นที่ค้าปลีกอาคารซันทาวเวอร์ส พื้นที่ส่วนกลางคงเหลือจากการลงทุนครั้งแรกของกองทรัสต์ และพื้นที่ห้องเก็บของรวมประมาณ 2,760 ตารางเมตร เป็นระยะเวลา 26 ปี โดยมูลค่าการลงทุนรวมไม่เกิน 6,113 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มจำนวนและมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์ SPRIME เป็นกว่าหมื่นล้านบาท ตลอดจนยกระดับ SPRIME ให้เป็นกองทรัสต์ประเภทอาคารสำนักงานชั้นนำในไทยมุ่งเน้นที่จะสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์

            ทรัพย์สินทั้ง 2 โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่มีคุณภาพพร้อมศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกลุ่ม บมจ.สิงห์ เอสเตท มีอัตราการเช่าพื้นที่และผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจแม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา โดยอาคาร “สิงห์ คอมเพล็กซ์” อยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจบนหัวมุมถนนอโศกฯ ตัดกับถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ถือเป็นโครงการแฟลกชิพของสิงห์ เอสเตท ที่เปิดดำเนินการเมื่อปี 2561 ประกอบด้วย พื้นที่อาคารสำนักงานเกรดเอ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและพื้นที่ค้าปลีกซึ่งเปรียบเสมือนไลฟ์สไตล์มอลล์ โดยได้รับการออกแบบและก่อสร้างภายใต้มาตรฐาน LEED ระดับ Gold เน้นความยั่งยืน ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นโครงการมิกซ์ยูสคอมเพล็กซ์ระดับพรีเมียมที่มีความทันสมัยและเป็นแลนด์มาร์กที่โดดเด่น สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หลากหลายรูปแบบ เชื่อมต่อเข้าสู่โครงการโดยตรงจากรถไฟฟ้า MRT สถานีเพชรบุรี อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ สถานีมักกะสัน มีอัตราการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากเริ่มเปิดดำเนินการ โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 มีอัตราการเช่าพื้นที่สูงถึง  94.34% และอัตราค่าเช่าเฉลี่ยตารางเมตรละ 957 บาทต่อเดือน รวมถึงมีผู้เช่าเป็นบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศกระจายตัวในภาคธุรกิจที่หลากหลาย เช่น ธุรกิจออนไลน์ สินค้าและบริการทางด้านเทคโนโลยี และบริการทางการแพทย์และสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ถือว่าอยู่ใน Booming sector ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ส่วน “อาคารซันทาวเวอร์ส ส่วนพื้นที่ค้าปลีก” ตั้งอยู่ในอาคารซันทาวเวอร์ส ซึ่งอยู่ในย่านธุรกิจที่สำคัญ ในทำเลใกล้ห้าแยกลาดพร้าว บนถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญของย่านธุรกิจ แหล่งค้าปลีก โครงการคอนโดมิเนียมพักอาศัยชั้นนำ และระบบขนส่งมวลชนต่างๆ โดยอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า MRT จตุจักรและสถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต รวมถึงจุดขึ้น–ลงทางพิเศษ  นับเป็นโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ ตอนเหนือที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 มีอัตราการเช่าพื้นที่สูงถึง 96.50% และอัตราค่าเช่าเฉลี่ยตารางเมตรละ 1,049 บาทต่อเดือน

“เรามีความมั่นใจในศักยภาพทรัพย์สินที่จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมทั้ง 2 โครงการ เห็นได้จากอัตราการเช่าพื้นที่ล่าสุดในไตรมาสแรกของปีนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง จะเพิ่มศักยภาพและผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วย โดยประมาณการการจ่ายประโยชน์ตอบแทน (เงินปันผล) ในปีแรกภายหลังการเข้าลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 0.632 บาทต่อหน่วย” นายอรรชวิชย์ กล่าว

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท เอส รีท แมเนจเม้นท์ จำกัด และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ในฐานะ Sponsor ของ SPRIME เปิดเผยว่า “ท่ามกลางความท้าทายของธุรกิจอาคารสำนักงานในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมา แต่ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้ง การบริหารจัดการพอร์ตลูกค้าให้สมดุลอย่างสม่ำเสมอ การปรับปรุงทรัพย์สินให้ทันสมัย ตลอดจนการนำเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อสอดรับกับความต้องการของผู้เช่าที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้อัตราการเช่าพื้นที่ของอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ และพื้นที่ค้าปลีกในอาคารซันทาวเวอร์ส สูงถึง 94.34% และ 96.50% ตามลำดับ ซึ่งการนำทรัพย์สินทั้ง 2 รายการดังกล่าวเข้ากอง SPRIME ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ต่อจากความสำเร็จของบริษัทที่ให้เช่าระยะยาวพื้นที่อาคารสำนักงานของอาคารซันทาวเวอร์ส กับกอง SPRIME ในช่วงต้นปี 2562 เพื่อรองรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างต่อเนื่องของ SPRIME ในโครงการอาคารสำนักงานที่มีศักยภาพ และสร้างความแข็งแกร่งให้ SPRIME เป็นหนึ่งในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอาคารสำนักงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ”

            นายประกอบ เพียรเจริญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจและรักษาการแทนผู้บริหารสายงานวาณิชธนกิจ กลุ่มงานลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า “ที่ผ่านมากองทรัสต์ SPRIME มีผลการดำเนินงานที่ดีและให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งตั้งแต่จัดตั้งกองเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2562 – 31 มีนาคม 2565 ได้มีการจ่ายประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ได้อย่างต่อเนื่องรวม 1.9849 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ หากพิจารณาการจ่ายประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เมื่อ 4 ไตรมาสล่าสุดที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 0.6000 บาทต่อหน่วย จะคิดเป็นอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนประมาณ 8.7% หากอ้างอิงจากราคาตลาดของ SPRIME ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2565 โดยการลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ในสิทธิการเช่าอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ และพื้นที่ค้าปลีกอาคารซันทาวเวอร์ส เป็นการเพิ่มศักยภาพผลการดำเนินงานและความสามารถในการสร้างผลกำไรให้แก่กองทรัสต์ ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตทรัพย์สินของกองทรัสต์”

            นายกฤชกร นนทะนาคร ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย สายงานตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า “การเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ของกองทรัสต์ SPRIME มูลค่าลงทุนรวมไม่เกิน 6,113 ล้านบาท จะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงินไม่เกิน 2,400 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะมาจากการเสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวนไม่เกิน 663 ล้านหน่วย ประกอบด้วย 1) การจัดสรรหน่วยทรัสต์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของหน่วยทรัสต์ที่ออกและเสนอขายทั้งหมดในการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อเสนอขายแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ ตามสัดส่วนการถือหน่วยทรัสต์ (Preferential Public Offering) 2) จัดสรรหน่วยทรัสต์ไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวนหน่วยทรัสต์ที่ออกและเสนอขายครั้งนี้ เสนอขายแก่ บมจ.สิงห์ เอสเตท และ/หรือกลุ่มบุคคลเดียวกัน (Private Placement) และ 3) จัดสรรหน่วยทรัสต์ส่วนที่เหลือ เพื่อเสนอขายผู้ลงทุนสถาบันและผู้จองซื้อพิเศษ และ/หรือประชาชนทั่วไป”

            จากข้อมูลข้างต้น SPRIME ซึ่งเป็นกองทรัสต์ชั้นนำของกลุ่ม บมจ.สิงห์ เอสเตท นับเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในกองทรัสต์ที่ให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว โดยกองทรัสต์ SPRIME มีผลการดำเนินงานที่ดีและสามารถจ่ายประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การเพิ่มทุนครั้งที่ 1 เพื่อเข้าลงทุนในทั้ง 2 โครงการข้างต้น จะส่งผลให้ SPRIME มีการกระจายการลงทุนในทรัพย์สินซึ่งเป็นอาคารสำนักงานหลากหลายประเภท ครอบคลุมทั้งเกรดเอและเกรดบีซึ่งล้วนตั้งอยู่ในทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพสูงของกรุงเทพฯ มีอัตราการเช่าที่สูงเป็นที่น่าพอใจ และสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์