บริษัท เอส รีท แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้จัดการทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 115.21 ล้านบาท และกำไรจากการลงทุนสุทธิ 78.16 ล้านบาท มั่นใจผลประกอบการผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว พร้อมประกาศจ่ายปันผลสูงถึง 0.160 บาท เติบโตขึ้นกว่า 23% จากไตรมาสก่อน และเทียบเท่าระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิด

นายเกตุกร เขมธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส รีท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) เปิดเผยว่า เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดอาคารสำนักงานให้เช่า ไม่ว่าจะเป็นการทยอยกลับเข้ามาทำงานของพนักงานผู้เช่า การต่อสัญญากับผู้เช่าเดิม การปล่อยเช่าพื้นที่กับผู้เช่ารายใหม่ และยังมีผู้สนใจทยอยขอเข้าดูพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของไตรมาส 3 กองทรัสต์มีรายได้รวมทั้งสิ้น 115.21 ล้านบาท และมีกำไรจากการลงทุนสุทธิ 78.16 ล้านบาท เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ข้างต้น คณะกรรมการกองทรัสต์ จึงมีมติจ่ายประโยชน์ตอบแทน (Dividend) ที่อัตรา 0.160 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับก่อนเกิดวิกฤติโควิด หรือเพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อนที่จ่ายอยู่ 0.130 บาทต่อหน่วย

หลังจากการผ่อนคลายมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของกิจการต่างๆกลับมาใกล้ปกติมากขึ้น โดยกว่าครึ่งของพนักงานผู้เช่าในอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ ได้กลับมาทำงานในอาคารตามปกติภายใต้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดที่เข้มงวด ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานภายในสำนักงานซึ่งผู้ประกอบการเชื่อมั่นว่ายังไม่สามารถทดแทนได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการทำงานแบบ Work from home หรือ Work everywhere

ในส่วนของการต่อสัญญาเช่าที่จะครบกำหนดลงภายในปีก็เป็นไปตามคาดการณ์ไว้ โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม กว่า 92% ของสัญญาได้ถูกดำเนินการต่อสัญญาแล้วเสร็จ ในขณะที่ 6% อยู่ระหว่างเจรจาและจะแล้วเสร็จราวเดือนธันวาคม นอกจากนี้ กองทรัสต์ยังสามารถปล่อยเช่าพื้นที่ให้กับผู้เช่ารายใหม่ได้เพิ่มเติม โดยเป็นการปล่อยเช่าพื้นที่สำนักงานปกติ ตลอดจน Service office ซึ่งเป็นพื้นที่เช่าพร้อมด้วยสาธารณูปโภค เครื่องใช้ในสำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทำให้ผู้เช่าสามารถเข้าใช้งานได้ทันที ทั้งนี้ Service office ดังกล่าวเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากความพยายามของกองทรัสต์ที่จะผลักดันอัตราการปล่อยเช่าพื้นที่ให้สูงขึ้น โดยตั้งแต่ปีที่แล้วกองทรัสต์เดินหน้าปรับปรุงพื้นที่บางส่วนที่ว่างลงจากการที่ผู้เช่าลดพื้นที่เช่าลง จากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 ตามแนวคิด Service office และเริ่มเปิดให้บริการในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ด้วยความคืบหน้าในการต่อสัญญากับผู้เช่าเดิมและปล่อยเช่าพื้นที่ให้กับผู้เช่ารายใหม่ที่เป็นที่น่าพอใจ ผนวกกับการที่กองทรัสต์อยู่ระหว่างเจรจากับผู้สนใจเช่าพื้นที่อีกหลายราย กองทรัสต์จึงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำที่สุดไปแล้ว และอัตราการปล่อยเช่าจะทยอยปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ

“จากจุดเด่นของอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์สซึ่งเป็นทรัพย์สินหลัก ตั้งอยู่ในทำเลห้าแยกลาดพร้าว ศูนย์กลางเศรษฐกิจตอนเหนือของกรุงเทพฯ ใกล้กับจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน และจุดขึ้นลงทางด่วน โดยอาคารได้มีการปรับปรุงระบบอาคารให้มีความทันสมัย ทั้งในเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัย เทียบเท่าอาคารสำนักงานใน CBD โดยค่าเช่ายังถูกกว่าอาคารประเภทเดียวกันใน CBD ถึง 30-40% อีกทั้งโมเดล Service office ที่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นที่เช่าในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้อาคารซันทาวเวอร์สจึงเป็นตัวเลือกของผู้เช่าที่ต้องการจะขยายพื้นที่อาคารสำนักงานในอนาคต” นายเกตุกร กล่าว

กองทรัสต์ มองว่าหลังสถานการณ์โควิด อาคารสำนักงานในพื้นที่ที่มีศักยภาพดียังมีโอกาสที่จะเติบโตได้ ดังนั้นจึงเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่กองทรัสต์จะเริ่มมองหาทรัพย์สินใหม่ เข้ามาในกองทรัสต์ฯ เพื่อให้พอร์ทโฟลิโอมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายในแง่ของทำเล ประเภทอาคาร หรือกลุ่มผู้เช่า ซึ่งสุดท้ายจะทำให้กองทรัสต์ฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนต่อไป ทั้งนี้กองทรัสต์อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้โครงการอาคารสำนักงานหลายแห่งของกลุ่มสิงห์ เอสเตท ที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นท่ามกลางวิกฤตโควิด 19 เช่นอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ที่มีอัตราการปล่อยเช่าสูงถึง 95%

สำหรับฐานะการเงินของกองทรัสต์ในปัจจุบันยังคงสามารถรักษาระดับรายได้และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี ที่ประชุมคณะกรรมการกองทรัสต์ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 จึงมีมติอนุมัติจ่ายประโยชน์ตอบแทนจากผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2564 แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ในอัตรารวม 0.160 บาทต่อหน่วย กำหนดปิดสมุดทะเบียนเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหน่วยทรัสต์ที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ตอบแทนในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 (Book Closing Date) และเตรียมจ่ายประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ในวันที่ 8 ธันวาคมนี้