เอสซีจี เผยผลประกอบการปี 2562  มีรายได้จากการขาย 437,980 ล้านบาท โดยธุรกิจเคมิคอลส์ฉุดกำไรรวมทั้งปีลด 28% ขณะที่มติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 14.0 บาท  ส่วนปี 63 เร่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ สู้ศึกดิสรัปท์ชันจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ พลิกโฉม 3 กลุ่มธุรกิจ และติดอาวุธพัฒนาคน โดยเปลี่ยนจากผู้ผลิต มาเป็นผู้ส่งมอบโซลูชันและนวัตกรรมสินค้า-บริการครบวงจร (Solution & Services Provider) อย่างฉับไว เหนือความคาดหมาย พิชิตใจลูกค้าทั่วภูมิภาคอาเซียน เพื่อมุ่งรักษาการเติบโตให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน

        นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี ประจำปี 2562 มีรายได้จากการขาย 437,980 ล้านบาทดลงร้อยละ 8 จากปีก่อน จากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับปีก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 34,049 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24 จากปีก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการดังกล่าวมูลค่า 2,035 ล้านบาท จะทำให้เอสซีจีมีกำไรสำหรับปี 32,014 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28 จากปีก่อน จากผลประกอบการที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์

โดยปี 2562 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services - HVA) 179,181 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 41 ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ 3 จากปีก่อน โดยใช้งบลงทุนด้านวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า 5,663 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดขายรวม

      สำหรับรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในปี 2562 ทั้งสิ้น 180,004 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 41 ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เอสซีจีมีรายได้จากการส่งออกจากประเทศไทย 102,152 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 มีมูลค่า 634,733 ล้านบาท โดยร้อยละ 36 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

 

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2562 แยกตามรายธุรกิจ  ดังนี้

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในปี 2562 มีรายได้จากการขาย 184,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากปีก่อน เนื่องจากการขยายตัวของยอดขายจากธุรกิจค้าปลีกและจัดจำหน่าย โดยมีกำไรสำหรับปี 5,455 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปีก่อน

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในปี 2562 มีรายได้จากการขาย 89,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับปี 5,268 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษลดลง ต้นทุนทางการเงินและค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น

ธุรกิจเคมิคอลส์ ในปี 2562 มีรายได้จากการขาย 177,634 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับปี 15,480 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 46 จากปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้า และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง

 

          ทั้งนี้จากความผันผวนของปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั่วโลกอย่างมากในปีที่ผ่านมา ทำให้ปี 2563 เป็นปีที่เอสซีจีต้องเร่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สู้ศึกดิสรัปท์ชันเหล่านั้นได้ โดยจะทรานสฟอร์มปัจจัยภายในทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ จากที่เคยเป็นผู้ผลิตสินค้าเพียงอย่างเดียว มาเป็นผู้ส่งมอบโซลูชันและนวัตกรรมสินค้า-บริการ ให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครบวงจร ให้สร้างมูลค่าให้ธุรกิจได้สูง พร้อมพัฒนาบุคลากร  ให้มีทักษะที่จำเป็น เข้าถึงและเข้าใจลูกค้าทุกกลุ่มทั่วภูมิภาคได้อย่างลึกซึ้ง

       โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง  จะยกยกระดับวงการก่อสร้างและที่อยู่อาศัยครบวงจร ด้วยโซลูชันสินค้าพร้อมบริการ อาทิ Construction Solution การพัฒนาเทคโนโลยี BIM ช่วยวางแผนการใช้งานวัสดุและเทคนิคในการก่อสร้างผ่านโมเดลสามมิติ ลดการใช้วัสดุก่อสร้างส่วนเกิน, พร้อมรุกธุรกิจค้าปลีก ที่เชื่อมต่อร้านค้ากับช่องทางออนไลน์อย่างเว็บไซต์ scghome.com และเร่งยกระดับกระบวนการผลิตให้เข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยร่วมกับเอไอเอส ในการนำเครือข่าย 5G มาทดลองใช้ขับเคลื่อนรถยก (Forklift) ระยะไกล ก่อนมีแผนต่อยอดไปใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจและอุตสาหกรรมในด้านอื่น ๆ

        ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ซึ่งมีโอกาสสร้างมูลค่าการเติบโตในอนาคตอย่างสดใสโดยเฉพาะในตลาดอาเซียน พร้อมสร้างสรรค์โซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค อีกทั้งมุ่งเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ให้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตและความต้องการสูง ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม อาหารแช่แข็งและอาหารกระป๋อง สินค้าอุปโภค สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

        ด้านธุรกิจเคมิคอลส์ เน้นการเพิ่มสัดส่วนสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าประเภทคงทน (Durable Products) เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เช่น เม็ดพลาสติก PE112 สำหรับผลิตท่อทนแรงดันสูง                 

        ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 14.0 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 16,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52 ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 7.00 บาท เป็นเงิน 8,400 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 7.0 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 8,400 ล้านบาท

ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563) โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี

 

ข้อมูลจาก SCG