14 มี.ค. 2562 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาถกฐาในงานสัมมนาผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 3 (SOE CEO Forum) จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ว่า ในช่วงรอยต่อระหว่างการเลือกตั้ง ต้องการให้ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจทั้ง 56 แห่งเข้ามาช่วยเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า โดยต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจยังมีความท้าท้ายเกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากส่งออกไม่ดี เศรษฐกิจโลกมีปัญหา เอกชนมีความไม่แน่นอนในการลงทุน เพราะรอดูความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้ง

          ดังนั้น รัฐวิสาหกิจไทยต้องเป็นแรงช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โตไปได้ ไม่ว่าจะเป็น บมจ. ปตท., บมจ. การบินไทย และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทุกอย่างจะต้องเดินหน้า ต้องทำให้ได้ตามแผน  เพราะสังคมไทยยังจำเป็นต้องให้รัฐวิสาหกิจเป็นตัวนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่เหมือนกับต่างประเทศที่ให้ภาคเอกชนเป็นคนขับเคลื่อน โดยปัจจุบันสถานะทางการเมืองระหว่างประเทศของไทยกับชาติมหาอำนาจของโลกอย่าง จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ทุกประเทศให้ความสำคัญต่อไทย ล่าสุดเกาหลีใต้ก็ชวนให้รัฐบาลไปเยือนเพื่อดึงนักลงทุนเกาหลีใต้เข้ามา ถือเป็นโอกาสดีมากที่ไทยต้องเร่งคว้าไว้


          นายสมคิด กล่าวอีกว่า ในยุคประชาธิปไตยเต็มตัวรัฐวิสาหกิจมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมากมีการทำโครงการออกมาช่วยมาก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยคนจน ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สตาร์อัพ ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ผมเข้ามาทำการเมืองยุคแรกที่มีโครงการออกมาจากรัฐวิสาหกิจน้อย เพราะขณะนั้นมีพรรคการเมืองหลายพรรค แบ่งกันคุมกระทรวงต่าง ๆ ทำให้การทำงานไม่เป็นไปทิศทางเดียวกัน ส่วนยุคนี้เวลาทำโครงการอะไร จะช่วยกันทำได้พร้อมกัน ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ดีกว่า 


          นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.การคลัง กล่าวว่า ต้องการให้การขับเคลื่อนรัฐวิสาหกิจเป็นหนึ่งเดียวกัน มองที่ผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่ต่างคนต่างไป บางหน่วยงานที่มีผลงานดี มีกำไรสูง ก็ควรเอาเม็ดเงินเหล่านั้นมาพัฒนาประเทศ ไม่ใช่เอาไปลงทุนในหุ้น หรือบางหน่วยงานเอาเงินที่เป็นรายได้จากในประเทศไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ ตรงนั้นไม่ใช่การพัฒนาประเทศ รัฐวิสาหกิจจะคิดแบบเอกชน คือนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่ได้ เงินเหล่านี้ควรอยู่ในประเทศ การลงทุนในประเทศก็เพื่อให้ประเทศเข้มแข็งมากขึ้น นี่ถือเป็นการรวมพลังเพื่อสร้างประเทศ จึงอยากฝากผู้บริหารรัฐวิสาหกิจต้องร่วมกันคิด พยายามช่วยสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้ประเทศเจริญขึ้น ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด


          นอกจากนี้ มองว่า รัฐวิสาหกิจไทยต้องเร่งทำใน 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1. การเพิ่มประสิทธิภาพ หากทำได้ดีสิ่งนี้จะช่วยตอบโจทย์ว่ารัฐวิสาหกิจไทยสามารถแข่งขันกับภาคเอกชนได้ แต่รัฐวิสาหกิจไม่เหมือนกับภาคเอกชน เพราะมีส่วนหนึ่งที่เป็นของรัฐบาล ดังนั้นจึงไม่ต้องคำนึงถึงกำไรสูงสุด แค่พอมีกำไรเลี้ยงตัวเองให้สามารถทำตามนโยบายได้ และสามารถดูแลสังคมในส่วนที่ต้องดูแลได้ก็พอ เช่น ภาคการเงิน ต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้คนด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ ทำอย่างไรจะทำให้คนจนมีบ้านเป็นของตัวเอง เหล่านี้เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล

         
          2. เรื่องการคอร์รัปชัน การรั่วไหล ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่รัฐวิสาหกิจไทยต้องเร่งแก้ไข เพราะที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจถูกตราหน้าว่าเป็นจุดที่มีการคอร์รัปชัน การรั่วไหลอยู่เป็นประจำ โดยการรั่วไหลนั้นมี 2 ระดับ ได้แก่ 1. ระดับนโยบาย ที่จะมีคนดูแลทางการเมืองเข้ามาสั่งการ และรัฐวิสาหกิจบางส่วนก็จำเป็นต้องทำ และ 2. ระดับล่าง สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องแก้ไข


          “ในขณะที่ปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลกับเศรษฐกิจเราไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ปัจจัยเหล่านั้นไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ปีละ 4 แสนล้านบาท จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วยที่ภาวะอื่น ๆ ยังมีความไม่แน่นอนสูง เม็ดเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดความมั่นคงในด้านการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ” นายอภิศักดิ์ กล่าว

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  www.thaipost.net