รูปแบบบ้านในฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเห็นภาพชัดเจนตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ ในขณะที่บางคนซื้อบ้านแล้วยังนึกไม่ออกว่าอยากให้บ้านที่รักออกมาหน้าตาเป็นแบบไหน แถมการแต่งบ้านยังเป็นงานที่ลงทุนสูง พลาดไปใช่จะแก้ได้ง่ายๆ ดังนั้นต้องคิดตัดสินใจให้รอบคอบว่าจะดีไซน์ให้บ้านออกมาสวยได้ยังไง หากยังไม่มีสไตล์ในใจ และไม่รู้ว่าควรไปทางไหนกันแน่ วันนี้ TerraBKK จะพาไปรู้จักการตกแต่งบ้าน 5 สไตล์ซึ่งได้รับความนิยมมาทุกยุคทุกสมัย เผื่อจะเป็นแนวทางในการจัดบ้านที่โดนใจ

หรูหรา โอ่อ่า สง่างาม คือคำจำกัดความของบ้านสไตล์คลาสสิค ที่ถือกำเนิดขึ้นราวๆ ศตวรรษที่ 16 -19 รวมศิลปะการตกแต่งแบบกรีก โรมัน, เรเนสซองส์, บาโรค และวิคตอเรียนเข้าด้วยกัน ยุคนี้เป็นยุคแห่งศักดินาและความร่ำรวย การตกแต่งบ้านของชนชั้นสูงในสมัยนั้นจึงเน้นโชว์ความหรูหรา อลังการ แต่ใช้งานได้น้อย

บ้านสไตล์คลาสสิค จะมีลักษณะเด่นคือ กว้างขวาง เพดานสูง ตกแต่งสวยงามด้วยคิ้วบัวสลัก เน้นจัดความสมดุลให้สัดส่วนลงตัว ซ้ายขวาต้องเท่ากันเป๊ะ ของตกแต่งจะเป็นพวกไม้กลึงเซาะร่อง ทองๆ มีรายละเอียด เฟอร์นิเจอร์ทำจากวัสดุธรรมชาติที่มีราคา เช่นหนังแท้ ไม่เนื้อหนัก ไหมทอมือชั้นดี ฯลฯ โครงสร้างดูอ่อนช้อยปราณีต และต้องเข้าชุดกันทุกอย่าง สีที่นิยมจะเป็นโทนสีกลาง เช่นขาว ครีม น้ำตาล ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา สง่า และอบอุ่น

บ้านสไตล์คลาสสิคคือบ้านแนวเศรษฐียุคกลาง หากหลงใหลในสไตล์นี้ต้องมีพื้นที่ในการจัดวางเฟอร์นิเจอร์พอสมควร

Modern Style ลดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไป ให้ความเคารพกับธรรมชาติและการใช้งาน การแต่งบ้านแบบโมเดิร์นเกิดขึ้นราวๆ ศตวรรษที่ 18 ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม คนเริ่มเบื่ออะไรที่เยอะและฟุ่มเฟือยของสไตล์คลาสสิค หันมาให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามากขึ้น จึงมีการลดทอนองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นออกไป ด้วยการใช้รูปทรงเรขาคณิตเป็นพื้นฐานในการออกแบบ

บ้านสไตล์โมเดิร์นจะเน้นการใช้งานจริงเรียบง่ายไม่ตกแต่งเกินจำเป็น ไม่ปกปิดรายละเอียดของผิวหน้าวัสดุและโครงสร้างเพราะถือว่าคือความงามรูปแบบหนึ่ง เช่นจะไม่ใช้ฝ้าเพดานปิดโครงหลังคา เนื่องจากโครงหลังคาออกแบบมาสวยงามดีแล้วดังนั้นฝ้าเพดานเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เน้นให้ผู้อยู่อาศัยมีความสะดวกสบายสูงสุด

บ้านสไตล์โมเดิร์นมีข้อดีคือเรียบและตอบสนองการใช้งาน ดังนั้นจึงไม่ต้องตกแต่งใหม่บ่อยๆ และด้วยแนวคิดเคารพต่อธรรมชาติ จึงเอื้อให้อยู่อาศัยอย่างสบายกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม นั่นหมายความว่าการสร้างบ้านสไตล์โมเดิร์นทำได้ทุกที่ในโลกแต่ต้องปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ดังนั้น การใช้มาตรฐานสไตล์โมเดิร์นแบบบ้านเมืองหนาวในประเทศไทยไม่ถือเป็นการเคารพธรรมชาติ

Minimal Style น้อยคือมาก เน้นการตกแต่งน้อยๆ แต่ใช้ประโยชน์ได้มากมาย เกิดขึ้นตามหลังโมเดิร์นมาติดๆ แต่จะเรียบกว่าเน้นประโยชน์การใช้งานมากกว่า

การแต่งบ้านแบบมินิมอลจะเน้นความเรียบง่าย สะอาดโปร่ง โล่งสบาย เน้นการไม่สะสมไม่รกรุงรัง เรียบกว่าโมเดิร์น สีแบบโมโนโทนและเส้นสายที่ตรงไปตรงมา ชอบความเรียบแต่มีประโยชน์ใช้สอย ในเฟอร์นิเจอร์หนึ่งชิ้นอาจจะใช้งานได้มากกว่า 1 อย่าง ดึงจุดเด่นของวัสดุมาใช้เรียบง่าย แต่สมดุล

สไตล์มินิมอลเหมาะกับการแต่งคอนโดมิเนียมหรือห้องเล็กๆ เพราะมีของไม่มากชิ้น ใช้งานได้หลายอย่าง และไม่รกรุงรัง ไม่อึดอัด

Loft Style โกดังแบบมีศิลปะ เริ่มต้นขึ้นประมาณปี 50’s - หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โรงงานหลายแห่งในอเมริกาปิดตัวลง ทำให้อาคารของโรงงานอุตสาหกรรมเก่าๆ เหล่านี้ว่างลง คนจึงเข้าไปจับจองเป็นที่อยู่อาศัย โดยประยุกต์ความเป็นโกดังเก่าเข้ากับความเป็นบ้าน สไตล์ลอฟท์ได้รับความนิยมขึ้นมาหลังจากมีกลุ่มศิลปินเข้าไปปรับปรุงโกดังเหล่านี้เพื่อใช้เป็นสตูดิโอสร้างสรรค์ผลงาน บ้านสไตล์ลอฟท์ที่โด่งดังที่สุดอยู่ในย่านโซโหของนิวยอร์ค การตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ที่สร้างสรรค์โดยศิลปินเหล่านั้นสวยงามแปลกตาและมีเสน่ห์น่าสนใจ

สไตล์ลอฟท์เน้นความดิบ เพดานสูง หน้าต่างขนาดใหญ่ และแสงจากธรรมชาติที่ผสมกลมกลืนกับการจัดซ่อนไฟอย่างสวยงาม คงอารมณ์โรงงานและโกดังไว้ด้วยการไม่ติดฝ้าเพดานเพื่อปกปิดระบบภายใน หากเรานั่งอยู่ในบ้านสไตล์ลอฟท์จะเห็นทั้งสายไฟ ท่อน้ำ ท่อแอร์ เปิดโล่งให้อากาศถ่ายเททั้งเพดานกรุกระจกและหน้าต่างขนาดใหญ่ เน้นให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงงาน ใช้สีที่เป็นธรรมชาติ เหมือนไม่แต่เติมหลักๆ คือ ขาว เทา ดำ ที่ทำให้นึกถึงปูน เหล็ก และสังกะสี ถ้ามีหลายชั้นบันไดจะต้องเป็นเหล็ก เฟอร์นิเจอร์ที่ขาดไม่ได้ของสไตล์ลอฟท์คือโต๊ะขนาดใหญ่ที่โชว์พื้นผิว ตั้งไว้กลางบ้านเพื่อเป็นโต๊ะเอนกประสงค์ ทำงาน ทานข้าว นั่งคุย ในตัวเดียวและเนื่องจากเป็นโรงงาน ข้าวของอื่นๆ ต้องน้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายง่าย นอกจากนี้สไตล์ลอฟท์ยังมีเสน่ห์ที่ผนังปูนเปลือยและปูนขัดมัน

สไตล์ลอฟท์เหมาะกับคนที่ชอบความดิบ เรียบง่าย เหมาะกับการทำงานอยู่กับบ้าน

Retro Style ย้อนยุคสุดชิค รูปแบบบ้านที่เน้นความสนุกสนานและมีชีวิตชีวา มีลูกเล่นแปลกตาและไม่น่าเบื่อ สไตล์เรโทรคือการแต่งบ้านให้ดูเหมือนอยู่ในยุค 50’s - 70’s

ความโดดเด่นของบ้านสไตล์เรโทรอยู่ที่ความสนุกในการใช้สี ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ ตามปีที่อยากย้อนไปนิยม หากเป็นยุค 50’s  สีสันที่นิยมใช้จะเป็นสีแนวพาสเทล หวานๆ สะอาดตา เช่น ชมพู ฟ้า ม่วงอ่อน แต่ถ้าเป็นยุค 70’s จะเป็นสีฉูดฉาด เช่น เหลืองมะนาว เขียว ส้ม น้ำตาลเข้ม เน้นวอลเปเปอร์ลายกราฟิก ดอกไม้ใหญ่ๆ หรือลายที่เหมือนลอยอยู่บนอวกาศ เนื่องจากเป็นยุคที่มนุษย์เพิ่งขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ย้อนยุค ดีไซน์แปลกๆ เท่ๆ ดีเทลน้อยแต่ดีไซน์มาก ชนิดที่ตั้งไว้ตัวเดียวกลางห้องก็ยังเด่น ไม่เน้นความเข้าชุดกันของเฟอร์นิเจอร์หรือระเบียบแบบแผน

สไตล์เรโทรช่วยให้บ้านดูสนุกขึ้น ได้รับความนิยมมากในช่วง 4 -5 ปีที่ผ่านมา

Vintage Style เก็บจนเก่าค่อยเอามาใช้ การตกแต่งบ้านในสไตล์น่ารัก หวานๆ เก่าๆ แบบที่ชวนให้นึกถึงสมัยคุณย่าคุณยายยังเป็นสาวน้อย ช่วงประมาณยุค 20’s - 70’s

สไตล์วินเทจคือการเอาของเก่ามาสร้างคุณค่าใหม่ เอาของใหม่มาทำให้เก่า หรือเอาของเก่ามาผสมผสานกับของใหม่ก็ได้ คือเป็นสไตล์ที่มองดูแล้วจะไม่รู้สึกว่าเป็นของใหม่ถอดด้ามที่เพิ่งถอยมาช็อปแน่นอน การแต่งบ้านสไตล์วินเทจจะเน้นงาน DIY ดูมีคุณค่าหาได้ชิ้นเดียวในโลก แต่ไม่หรูหราเน้นความน่ารักอ่อนหวาน พู่ๆ ลูกไม้ ดูเป็นผู้หญิงและละมุนตา วินเทจจะมาคู่กับลายดอก ลายจุด และสีพาสเทล เป็นการผสมเฟอร์นิเจอร์เก่าหรือทำให้เก่าเข้ากับวอลเปเปอร์ลายดอกไม้หวานๆ และโทนสีสว่างสดใส หรือสีสันในสไตล์พาสเทล นอกจากนี้ทองเหลืองหรือลวดลายแบบวิคตอเรียนก็เข้ากันได้ดี

สไตล์วินเทจเหมาะกับสาวหวานหรือคนที่ต้องการแต่งบ้านให้ดูน่ารักอบอุ่นสะอาดตา

ที่เล่ามา คือสไตล์ที่ได้รับความนิยม เพื่อเป็นไอเดียในการตกต่งบ้าน แต่เอาเข้าจริงการจัดบ้านควรขึ้นอยู่ส่วนใหญ่การจัดบ้านจะขึ้นอยู่กับรสนิยม ความชอบ และการตอบสนองไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบแบบไหนจัดไปแบบนั้น เพื่อการอยู่บ้านอย่างสบายใจ