TerraBKK Research ได้รวบรวมผลประกอบการกลุ่ม “วัสดุก่อสร้าง” ประจำไตรมาส 2 ปี 2559 ย้อนหลังไปจนถึงปี 2555 โดยในกลุ่มนี้มีทั้งหมด 19 บริษัท ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยตัวเลขทางการเงินที่เราได้รวบรวมมา ได้แก่ รายได้ อัตรากำไรสุทธิ อัตราผลตอบแทนจากส่วนของสินทรัพย์ อัตรากำไรต่อหุ้น และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน โดยตัวเลขเหล่านี้จะมีจุดประสงค์ในการบอกถึงสถานะการดำเนินงานที่แตกต่างกัน ตัวเลขทางการเงินเหล่านี้น่าจะช่วยให้ท่านที่สนใจที่จะติดตามผลการดำเนินงานได้รู้ถึงการเติบโตของแต่ละบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันว่าบริษัทใดสามารถสร้างผลประกอบการได้ดีกว่ากันเมื่อเทียบกับในอดีต สำหรับผลการดำเนินงานปี Q2/2559 มีรายละเอียดดังนี้

  1. CCP : CHONBURI CONCRETE PRODUCT
  2. DCC : DYNASTY CERAMIC
  3. DCON : DCON PRODUCTS
  4. DRT : DIAMOND BUILDING PRODUCTS
  5. EPG : EASTERN POLYMER GROUP
  6. GEL : GENERAL ENGINEERING
  7. PPP : PREMIER PRODUCTS
  8. Q-CON : QUALITY CONSTRUCTION
  9. RCI : THE ROYAL CERAMIC INDUSTRY
  10. SCC : THE SIAM CEMENT
  11. SCCC : SIAM CITY CEMENT
  12. SCP : SOUTHERN CONCRETE PILE
  13. TASCO : TIPCO ASPHALT
  14. TCMC : THAILAND CARPET MANUFACTURING
  15. TGCI : THAI-GERMAN CERAMIC
  16. TPIPL : TPI POLENE
  17. UMI : THE UNION MOSAIC
  18. VNG : VANACHAI GROUP
  19. WIIK : WIIK & HOEGLUND

จากการสำรวจผลประกอบการกลุ่มวัสดุก่อสร้างในไตรมาสที่ 2 ปี 2559 เราพบบริษัทที่มีการเติบโตในส่วนของรายได้ กำไร ความสามารถในการทำกำไร และประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ที่ดีขึ้น บริษัทเหล่านั้นได้แก่ TCMC, WIIK และ EPG

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

รายได้ (Revenue) จากการดูแนวโน้มรายได้ของทั้งกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เราพบว่า รายได้ของกลุ่มวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องหลายบริษัทแต่มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่มีแนวโน้มของรายได้เพิ่มสูงขึ้น สำหรับบริษัทที่มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น 3 อันดับแรกได้แก่ TCMC (+112.22% Y-o-Y), WIIK (+33.94% Y-o-Y) และ EPG (+11.76% Y-o-Y) ส่วนบริษัทที่มีรายได้ลดลงในไตรมาสนี้เทียบกับปีที่แล้ว คือ TASCO, GEL, RCI, UMI, TGCI, Q-CON, DCON, CCP, SCP, SCC, DRT และ SCCC เรียงลำดับจากลดมากไปลดน้อย สำหรับปีนี้บริษัทใหญ่อย่าง SCC มีแนวโน้มของรายได้ลดลงต่อเนื่องจากปีแล้ว บริษัทที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น 3 ปีติดต่อกันได้แก่ TCMC, EPG และ VNG

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NPM) จากการสำรวจพบว่าหลายๆ บริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้างมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น โดย 3 บริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิมากที่สุด ได้แก่ DCC, VNG และ EPG สำหรับ TCMC มีอัตรากำไรสุทธิเพียง 5.21% แต่ดีขึ้นจากปีที่แล้ว หากดูจากแนวโน้มบริษัทที่มีแนวโน้มของกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ VNG, EPG, SCC, WIIK, DRT และ PPP บริษัทเหล่านี้ล้วนแต่มีแนวโน้มของกำไรดีขึ้นแทบทั้งสิ้น

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่บริษัทยิ่ง ROA มีค่ามากแสดงว่า บริษัทสามารถนำสินทรัพย์ที่ตนเองมีอยู่นำมาสร้างผลตอบแทนได้มาก บริษัทที่มี ROA อยู่ในระดับสูงมากกว่า 10% ได้แก่ DCC, TASCO, SCP, SCCC, SCC, DCON, DRT, EPG, VNG, TCMC, PPP และ WIIK ถ้าหากเราดูแนวโน้มของ ROA เราจะพบว่า DCC, TASCO, SCC, VNG, TCMC เป็นบริษัทที่มีแนวโน้มของ ROA เพิ่มสูงขึ้น ส่วน Q-CON, UMI, RCI มี ROA ติดลบ

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) เป็นตัวชี้วัดถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ยิ่งตัวเลขมากยิ่งดี บริษัทที่มีความสามารถในการสร้างผลตอบแทนมากกว่า 15% ได้แก่ TASCO, DCC, SCC, VNG, TCMC, SCCC, DRT, SCP, PPP, WIIK และ EPG นอกจากนั้นในกลุ่มนี้มีบริษัทที่ ROE เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คือ SCC, VNG, TCMC และ EPG

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) กำไรต่อหุ้นเป็นอัตราส่วนที่บอกถึงผลตอบแทนของกำไรสุทธิต่อหนึ่งหุ้น บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรสุทธิมากก็จะแสดงถึงความสามารถในการรับรู้กำไรต่อหนึ่งหุ้นที่มากขึ้นด้วย ดังนั้นเราจะให้ความสำคัญกับการเติบโตของกำไรต่อหุ้นเป็นหลัก บริษัทที่มีการเติบโตกำไรต่อหุ้นมากที่สุด (EPS Growth) คือ TCMC (+1,200% Y-o-Y), UMI (+300% Y-o-Y), TPIPL (+100% Y-o-Y), WIIK (+42.9% Y-o-Y), EPG (+40% Y-o-Y), DRT (+10% Y-o-Y), PPP (+9.1% Y-o-Y) และ VNG (+7.4% Y-o-Y) ถ้าหากเราดูแนวโน้มของ EPS ทีเพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ SCC, WIIK , EPG, PPP และ VNG

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

หนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) อัตราหนี้สินต่อทุนควรอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจาก การระดมทุนจากส่วนของหนี้สินจะมีต้นทุนทางการเงินค่อนข้างมากและมีความเสี่ยงมากนอกจากนั้นบริษัทที่มีหนี้สินมากๆ จะไม่สามารถขอกู้จากสถาบันการเงินได้ทำให้บริษัทต้องหันมาระดมทุนจากผู้ถือหุ้นผ่านการออกหุ้นเพิ่มทุน ส่งผลให้จำนวนหุ้นมากขึ้น ถ้าบริษัทเอาเงินเพิ่มทุนไปแต่ไม่สามารถสร้างกำไรได้ดีจะส่งผลให้กำไรต่อหุ้นลดลงบริษัทที่มีอัตรากำไรต่อหุ้นเกิน 2 เท่า จะเป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงจะออกหุ้นเพิ่มทุน แต่สำหรับกลุ่มนี้ไม่มีบริษัทใดเลยที่มี D/E Ratio มากกว่า 2 เท่า

อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช้ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนหักต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง

บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก