TerraBKK Research ได้รวบรวมผลประกอบการบริษัทไตรมาส 2 ประจำปี พ.ศ. 2559 ของกลุ่ม “โรงพยาบาล”รามาดูกันว่าบริษัทไหนในตลาดหลักทรัพย์ที่สามารถสร้างผลประกอบการได้อย่างน่าประทับใจที่สุดทั้งในส่วนของการเติบโตรายได้ ความสามารถในการทำกำไร และภาระหนี้ที่ไม่สูงมากนัก โดยข้อมูลงบการเงินของบริษัทที่เรานำมาให้ดูจะเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาด SET เท่านั้น และไม่ได้นำบริษัทในตลาด MAI เข้ามาวิเคราะห์ด้วยในปี 2559 เรามาดูกันว่าผลงานของแต่ละบริษัทจะเป็นเช่นไร TerraBKK Research ได้รวบรวมข้อมูลมาดังต่อไปนี้

จากการสำรวจผลประกอบการกลุ่มโรงพยาบาล ในไตรมาสที่ 2 ปี 2559 พบว่า บริษัทที่มีแนวแนวโน้มของผลประกอบการอยู่ในระดับสูงทั้งรายได้เติบโตได้ดี ความสามารถในการทำกำไรสูง รวมถึงกำไรต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่ามีนัยยะสำคัญ บริษัทเหล่านั้นได้แก่ M-CHAI และ BCH ส่วน BDMS เข้าข่ายเช่นกันแต่ด้วยขนาดของธุรกิจที่ใหญ่มากแล้วส่งผลให้การเติบโตค่อนข้างชะลอตัวลงพอสมควรแต่อย่างไรก็ตามเรายังเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทนี้

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

รายได้ (Revenue) จากรายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลเราจะเห็นว่าแนวโน้มของไตรมาส 2 ของเกือบทุกโรงพยาบาลมีแนวโน้มรายได้เพิ่มขึ้นสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการขยายตัวของโรงพยาบาลที่มีแนวโน้มของการใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมี 4 บริษัทเท่านั้นที่รายได้ลดน้อยลง ได้แก่ SVH (-1.23% Y-o-Y), BH (-1.28% Y-o-Y), AHC (-2.69% Y-o-Y) และ NEW (-8.03% Y-o-Y) สำหรับบริษัทที่มีรายได้เพิ่มขึ้นสูงมากกว่า 10% ได้แก่ KDH (+49.95% Y-o-Y), VIH (+21.06% Y-o-Y), M-CHAI (+17.92% Y-o-Y), CHG (+14.13% Y-o-Y), SKR (+13.94% Y-o-Y), BCH (+13.64% Y-o-Y), CMR (+11.92% Y-o-Y) และ VIBHA (+10.80% Y-o-Y)

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตรากำไรสุทธิ ( Net Profit Margin : NPM) เป็นอัตราส่วนที่บอกถึงความสามารถในการทำกำไรของกิจการ (Profitability) ในกลุ่มโรงพยาบาลบริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิมากที่สุด (มากกว่า 10%) ได้แก่ RAM, BH, CHG, NTV, SVH, LPH, BDMS และ BCH แต่ถ้าหากเราดูถึงแนวโน้มเราจะพบว่าบริษัทที่มี NPM เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันถึง 3 ปี มีแค่ BH เพียงโรงพยาบาลเดียวเท่านั้น

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของกิจการ (Efficiency) ว่า บริษัทสามารนำสินทรัพย์ที่มีอยู่ไปสร้างผลตอบแทนได้มากน้อยขนาดไหน ยิ่ง ROA มีค่ามากแสดงว่าดี แต่ถ้า ROA ต่ำแสดงว่าไม่ดี จากการสำรวจกลุ่มโรงพยาบาลเราพบว่าเกือบทุกบริษัทมี ROA มากกว่า 10% เกือบทั้งหมดมีเพียง SKR, NEW และ KDH เท่านั้น ที่ ROA ต่ำกว่า 10%

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) เป็นตัวชี้วัดถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ยิ่งตัวเลขมากยิ่งดี บริษัทที่มีความสามารถในการสร้างผลตอบแทนมากกว่า 15% ได้แก่ BH, NTV, SVH, M-CHAI, CHG และ BDMS สำหรับ ROE ที่เพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างโดดเด่นคือ M-CHAI, BCH และ VIH

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) กำไรต่อหุ้นเป็นอัตราส่วนที่บอกถึงผลตอบแทนของกำไรสุทธิต่อหนึ่งหุ้น บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรสุทธิมากจะแสดงถึงความสามารถในการรับรู้กำไรต่อหนึ่งหุ้นที่มากขึ้นด้วย ดังนั้นเราจะให้ความสำคัญกับการเติบโตของกำไรต่อหุ้นเป็นหลัก บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรต่อหุ้นโดยเรีนจากมากไปน้อยมีดังต่อไปนี้ M-CHAI (+162.61 %YoY), BCH (+50 %YoY), VIH (+40 %YoY), BDMS (+10 %YoY), SVH (+9.52 %YoY) และ BH (+1.72 %YoY) โดย BH เป็นเพียงบริษัทเดียวที่มี EPS เติบโตต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

หนี้สินต่อทุน ( Debt to Equity) อัตราหนี้สินต่อทุนควรอยู่ในระดับต่ำเนื่องจาก การระดมทุนจากส่วนของหนี้สินมากๆ จะไม่ค่อยดีเนื่องจากมีต้นทุนทางการเงินค่อนข้างมากและมีความเสี่ยงมากกว่า นอกจากนั้นบริษัทที่มีหนี้สินมากๆ จะไม่สามารถขอกู้จากสถาบันการเงินได้ทำให้บริษัทต้องหันมาระดมทุนจากผู้ถือหุ้นผ่านการออกหุ้นเพิ่มทุน ส่งผลให้จำนวนหุ้นมากขึ้น ถ้าบริษัทเอาเงินเพิ่มทุนไปแต่ไม่สามารถสร้างกำไรได้ดีจะส่งผลให้กำไรต่อหุ้นลดลงจากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่ชอบที่กำไรต่อหุ้นของตนเองลดลงในที่สุดมันจะถูกสะท้อนออกมายังราคาหุ้นที่ลดลง บริษัทที่มีอัตรากำไรต่อหุ้นเกิน 2 เท่า จะเป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงจะออกหุ้นเพิ่มทุน โดยในกลุ่มโรงพยาบาลไม่มีบริษัทใดเลยที่มี D/E Ratio สูงกว่า 2 เท่า - เทอร์ร่า บีเคเค

อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช้ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนหักต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง

บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก