TerraBKK Researchได้รวบรวมผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2559 ของกลุ่มบริษัท "รับเหมาก่อสร้าง" มีด้วยกันทั้งหมด 18 บริษัท โดย TerraBKK Research จะนำเสนอในส่วนตัวเลขรายได้ (Revenue), อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NPM), อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA), อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE), กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) และหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) ตัวเลขเหล่านี้สามารถบอกถึงศักยภาพในทำกำไร ประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ รวมถึงการเติบโตของกิจการ

ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขการเงินในอดีต ดังนั้นผลประกอบการในอนาคตอาจจะไม่เหมือนกับในอดีตก็ได้เช่นกัน นักลงทุนควรที่จะศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน

รายชื่อบริษัทในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ซื้อขายในตลาด SET

  1. BJCHI : BJC HEAVY INDUSTRIES
  2. CK : CH. KARNCHANG
  3. CNT : CHRISTIANI & NIELSEN
  4. EMC : EMC
  5. ITD : ITALIAN-THAI
  6. NWR : NAWARAT PATANAKARN
  7. PLE : POWER LINE ENGINEERING
  8. PREB : PRE-BUILT
  9. PYLON : PYLON
  10. SEAFCO : SEAFCO
  11. SRICHA : SRIRACHA CONSTRUCTION
  12. STEC : SINO-THAI
  13. STPI : STP&I
  14. SYNTEC : SYNTEC
  15. TPOLY : THAI POLYCONS
  16. TRC : TRC CONSTRUCTION
  17. TTCL : TOYO-THAI
  18. UNIQ : UNIQUE

จากการสำรวจบริษัทในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง TerraBKK Research พบว่า บริษัทที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตในอนาคตทั้งในแง่ของ ความสามารถในการเติบโต (Growth) และมีความสามารถในการทำกำไร บริษัทเหล่านั้นได้แก่ SEAFCO: SEAFCO, TTCL : TOYO-THAI, STPI : STP&I และ UNIQ : UNIQUE

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

รายได้ (Revenue) จากรายได้กลุ่มรับเหมา TerraBKK Research พบว่า บริษัทรับเหมาขนาดใหญ่ในไตรมาส 1 ปี 2559 มีรายได้เติบจากไตรมาส 1 ของปีที่แล้วอยู่หลายบริษัท เป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และยังแสดงให้เห็นว่ายังคงมีการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชนอยู่ บริษัทที่มีการเติบโตของรายได้ ได้แก่ STPI (+59.33% Y-o-Y), TRC (+42.58% Y-o-Y), BJCHI (+40.45% Y-o-Y), TTCL (+26.31% Y-o-Y), UNIQ (+13.95% Y-o-Y), TPOLY (+12.43% Y-o-Y), ITD (+11.53% Y-o-Y), STEC (+5.58% Y-o-Y), SEAFCO (+5.57% Y-o-Y) และ CK (+0.67% Y-o-Y) แต่ก็ยังมีหลายบริษัทที่มีรายได้ลดลง ได้แก่ SRICHA, PREB, CNT, EMC, NWR และ STEC ตามลำดับจากติดลบมากไปติดลบน้อย

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NPM) บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่สามารถแปลงรายได้มาเป็นกำไรเข้าบริษัทได้มากที่สุด คือ PYLON, BJCHI, STPI, SYNTEC, SEAFCO ทั้ง 5 บริษัทนี้เป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรส่วนต่างได้มากกว่า 10% แต่เราพบว่า STPI เป็นบริษัทที่มีกำไรสุทธิลดลงจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก ส่วนบริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิติดลบ ได้แก่ SRICHA (-16.93%), EMC (-1.77%) และ CNT (-0.42%) ตามลำดับ

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของกิจการ (Efficiency) ว่า บริษัทสามารถนำสินทรัพย์ที่มีอยู่ไปสร้างผลตอบแทนได้มากน้อยขนาดไหน ยิ่ง ROA มีค่ามากแสดงว่าดี แต่ถ้า ROA ต่ำแสดงว่าไม่ดี บริษัทที่มี ROA มากกว่า 15% คือ BJCHI (24.36%), STPI (23.12) และ PYLON (19.47%) ถ้าหากดูจากกราฟแผนภูมิแท่งเราจะพบว่า บริษัทที่มี ROA เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งหมายถึง ประสิทธิภาพของการใช้สินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) เป็นตัวชี้วัดถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ยิ่งตัวเลขมากยิ่งดี บริษัทที่มีความสามารถในการสร้าง ROE มากกว่า 15% คือ BJCHI, STPI, SYNTEC, PREB, PYLON, SEAFCO และ STEC ตามลำดับ ยิ่งไปกว่านั้น BJCHI และ SYNTEC มี ROE เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อหลายปีแล้ว ส่วนบริษัทที่มี ROE ติดลบ คือ PLE, TPOLY, EMC และ NWR

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) กำไรต่อหุ้นเป็นอัตราส่วนที่บอกถึงผลตอบแทนของกำไรสุทธิต่อหนึ่งหุ้น บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรสุทธิมากจะแสดงถึง ความสามารถในการรับรู้กำไรต่อหนึ่งหุ้นที่มากขึ้นด้วย ดังนั้น เราจะให้ความสำคัญกับการเติบโตของกำไรต่อหุ้นเป็นหลัก บริษัทที่มีการเติบโตกำไรต่อหุ้นมากที่สุด (EPS Growth) ได้แก่ TPOLY (200% Y-o-Y), SYNTEC (133.33% Y-o-Y), ITD (110% Y-o-Y), SEAFCO (100% Y-o-Y), TTCL (38.89% Y-o-Y), PREB (9.52% Y-o-Y), STPI (9.09% Y-o-Y) และ UNIQ (7.14% Y-o-Y)

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

หนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) อัตราหนี้สินต่อทุนควรอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากการระดมทุนจากส่วนของหนี้สินมากๆ จะทำให้มีต้นทุนทางการเงินค่อนข้างมากและมีความเสี่ยงมากกว่า นอกจากนั้นบริษัทที่มีหนี้สินมากๆ จะไม่สามารถขอกู้จากสถาบันการเงินได้ ทำให้บริษัทต้องหันมาระดมทุนจากผู้ถือหุ้นผ่านการออกหุ้นเพิ่มทุน ส่งผลให้จำนวนหุ้นมากขึ้น ถ้าบริษัทเอาเงินเพิ่มทุนไปแต่ไม่สามารถสร้างกำไรได้ดีจะส่งผลให้กำไรต่อหุ้นลดลงจากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่ชอบที่กำไรต่อหุ้นของตนเองลดลงในที่สุดมันจะถูกสะท้อนออกมายังราคาหุ้นที่ลดลง สำหรับบริษัทในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง TerraBKK Research พบว่า มี 8 บริษัทด้วยกันที่มีอัตราหนี้สินต่อทุนมากกว่า 2 เท่า ได้แก่ PLE, ITD, TTCL,CK,PREB,TPOLY,NWR และ UNIQ - เทอร์ร่า บีเคเค

อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช้ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนหักต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง

บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก