คนที่กำลังออมเงินเพื่อเป้าหมายที่จะเกษียณหรือมีเงินเก็บซักก้อน คงเคยมีคำถามอยู่ในใจว่าควรจะนำเงินไปลงทุนซื้อหุ้นเองหรือว่าจะซื้อกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนบริหารดี ในบทความนี้เราจะมาลองพิจารณาว่าการลงทุนด้วยตนเองให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง และข้อดีข้อเสียของการลงทุนในกองทุนรวมเป็นอย่างไร

การลงทุนซื้อขายหุ้นด้วยตนเองให้ประสบความสำเร็จ นักลงทุนต้องมีอะไรบ้าง

1. ความรู้ทางด้านการลงทุน

ไม่ว่าจะทำอะไรให้สำเร็จก็ต้องอาศัยความรู้ในด้านนั้นๆ การลงทุนก็เช่นกัน นักลงทุนควรจะมีความรู้ในด้านต่างๆ เช่นหลักการในการลงทุน เช่น การประเมินมูลค่าหุ้น (ถ้าเป็นแนว Value Investor) เพื่อให้ทราบว่าราคาใดที่เหมาะสมแก่การเข้าไปลงทุนหรือควรจะขายหุ้นเมื่อใด และการดูกราฟทางเทคนิคเพื่อหาจังหวะซื้อขาย (ถ้าลงทุนในสาย Technical Analysis)

2. ติดตามความเป็นไปของบริษัทและภาวะเศรษฐกิจ

  • ข้อมูลเกี่ยวกับตัวบริษัทเอง เช่น บริษัทมีกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจอย่างไร มีรายได้จากอะไรบ้าง อนาคตจะสามารถรักษาฐานรายได้และกำไรและทำให้ธุรกิจเติบโตได้หรือไม่
  • ผู้บริหารเป็นใคร มีความสามารถในการบริหาร และมีความซื่อสัตย์หรือไม่
  • อุตสาหกรรม สภาวะของอุตสาหกรรมว่าเอื้อต่อการทำธุรกิจหรือไม่ มีการแข่งขันสูง หรือว่ามีสินค้าทดแทนหรือไม่
  • ผลประกอบการรายไตรมาสที่ประกาศออกมาสอดคล้องกับแผนที่บริษัทได้เคยประกาศหรือที่เราคาดการณ์ไว้หรือไม่ ถ้าต่ำกว่าที่คาดการณ์แล้วน่าจะเกิดจากสาเหตุใด และจะเป็นแค่ชั่วคราวหรือเป็นการเปลี่ยนพื้นฐานของบริษัทอย่างถาวร
  • แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ และของโลกเป็นอย่างไร มีปัจจัยใดเป็นความเสี่ยงหรือไม่

3. มีความสนใจใฝ่รู้ในการหาความรู้และข้อมูลต่างๆในการลงทุน

ในการลงทุนนั้น ถ้าหากจะทำให้ได้ดี อาจจะต้องใช้เวลาในการสะสมความรู้ ทั้งทางทฤษฎีในการประเมินมูลค่า และข้อมูลของแต่ละบริษัท ซึ่งจะต้องอาศัยความพยายาม เป็นอย่างมาก ถ้าหากนักลงทุนไม่ได้มีความสนใจทางด้านการลงทุนก็อาจจะไม่สามารถ ทุ่มเทเวลาในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จได้

4. จิตใจที่มั่นคง

ระหว่างการลงทุนในหุ้นนั้น ความผันผวนของราคาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้านักลงทุนไม่สามารถควบคุมจิตใจตนเองไม่ให้หวั่นไหวไปกับราคาที่ขยับขึ้นลง ก็อาจจะทำให้ตัดสินใจซื้อขายผิดพลาดได้ ถ้าหากนักลงทุนไม่สามารถทำทั้งสี่ข้อที่กล่าวมาข้างต้นได้ ก็อาจจะพิจารณาการลงทุนในกองทุน ซึ่งจะมีผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่บริหารให้แทนการลงทุนด้วยตนเอง

การลงทุนในกองทุนมีข้อดีดังต่อไปนี้

1. มีกองทุนให้เลือกหลากหลาย

ปัจจุบันมีกองทุนหุ้นให้เลือกลงทุนจำนวนมาก เช่น กองทุนหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ (ซึ่งยังสามารถแบ่งตามประเทศเช่นอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่นหรือจีน) หรือแบ่งตามอุตสาหกรรมเช่นหุ้นกลุ่ม Healthcare เป็นต้น นอกจากนี้กองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์อื่นก็มีให้เลือกมากมาย เช่นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนตราสารหนี้เป็นต้น

2. เป็นการกระจายความเสี่ยง

เนื่องจากกองทุนจะถือหุ้นจำนวนมาก ทำให้มีการกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า นอกจากนี้นักลงทุนยังสามารถกระจายการลงทุนไปในกองทุนหลายกอง ซึ่งอาจจะลงทุนในหลายประเทศ และสินทรัพย์หลายประเภท ทำให้ความผันผวนลดลงได้

3. มีมืออาชีพทางด้านการลงทุนเป็นผู้ดูแล

ผู้จัดการกองทุนจะทำการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนแทนเรา ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะมีความรู้และประสบการณ์ในการลงทุนและสามารถทุ่มเทเวลาในการหาข้อมูลการลงทุนได้ ซึ่งการที่เรามอบหมายให้มืออาชีพดูแล ทำให้นักลงทุนสามารถทุ่มเทเวลาไปกับหน้าที่หลักของตัวเอง หรือกิจกรรมอื่นที่อยู่ในความสนใจได้

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุนมีข้อเสียคือนักลงทุนจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมคือค่าบริหารจัดการกองทุน นอกจากนี้ การเลือกกองทุนที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากเช่นกัน ซึ่งในบทความถัดไปเราจะมาพูดถึงหลักในการเลือกกองทุน - เทอร์ร่า บีเคเค

เปรียบเทียบความเสี่ยงและผลตอบแทนในทุก Asset Class “ผลตอบแทน” และ “ความเสี่ยง” ของสินทรัพย์แต่ละประเภท มาเปรียบเทียบเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่แตกต่างกัน และผลตอบแทนจะแตกต่างกันอย่างไร โดยความเสี่ยงในที่นี้อาจจะหมายถึงความผันผวน (Volatility) ของผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ ความผันผวนมากแสดงถึงความเสี่ยงที่มาก ความผันผวนน้อยแสดงถึงความเสี่ยงที่ต่ำ ความผันผวนมากความเสี่ยงก็จะสูงตาม

ดร.ธนภูมิ ดำรักษ์, CFA.

บทความโดย เทอร์ร่า บีเคเค จาก ดร.ธนภูมิ ดำรักษ์, CFA. Email : tanapoom@uchicago.edu บทความโดย TerraBKK คลังความรู้สู่การลงทุนเพิ่มความมั่งคั่ง ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก