นายหน้า (ตัวแทน) มีส่วนสำคัญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาโดยตลอด โดยนายหน้าอสังหาริมทรัพย์สามารถเป็นได้ทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม มีทั้งรูปแบบที่เป็นรายบุคคลและรูปแบบบริษัท TerraBKK จึงรวบรวมความน่าสนใจและเทคนิคสำหรับการเป็นนายหน้าว่าเป็นนายหน้าแล้วจะรวยได้จริงหรือไม่ เอาไว้ดังนี้

  1. นายหน้าได้อัตราผลตอบแทนสูง อัตราผลตอบแทนจากนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ได้รับกันจะอยู่ที่ 3% บางเคสสูงถึง 10% บางคนอาจจะคิดว่า ก็แค่ 3% จะมากอะไร แต่เมื่อนำมาคิดๆดูแล้ว 3% ก็ถือว่าเยอะมาก ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเช่น  3% ของ 100,000 บาทเท่ากับ 3,000 บาท แล้วถ้าขาย 1,000,000 บาท จะเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 บาท และถ้าขาย 10 ล้าน จะได้ผลตอบแทนสูงถึง 300,000 บาทเลยที่เดียว มากกว่าพนักงานกินเงินเดือน 30,000 บาท/เดือน ถึง 10 เท่า เมื่อขายบ้านได้หนึ่งหลัง (ยังไม่หักค่าใช้จ่าย)
  2. ใช้เงินลงทุนน้อย นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ก็มีต้นทุนในการดำเนินการเช่นกัน ไม่ใช่ว่าจะนั่งอยู่เฉยๆแล้วจะมีคนมาซื้อ นายหน้าอสังหาต้องใช้ช่องทางการตลาดให้ถึงกลุ่มลูกค้า ทั้งโฆษณา ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ในการเสนอขาย แต่ก็ถือว่าเป็นต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับรายได้ ต้นทุนอีกอันหนึ่งก็ คือ ต้นทุนด้านเวลาที่ใช้ค่อนข้างน้อย
  3. ความเสี่ยงต่ำ
    จากต้นทุน และค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำและรายได้ที่สูงต่อครั้ง ทำให้มีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับธุรกิจประเภทอื่นๆ ยกตัวอย่างให้เห็นชัดมากขึ้น ในกรณีที่เราลงทุนอสังหาริมทรัพย์ กำไรสุทธิต่อหลังจะอยู่ที่ประมาณ 15-20% แต่นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ต้นทุนในการขายตีคร่าวๆ ประมาณ 50% ของราคาขาย กำไรสุทธิแล้วประมาณ 50%จะเห็นว่านายหน้าอสังหาฯ ต้นทุนต่ำกว่ามากเพราะไม่มีทั้ง ต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างอาคาร ค่าออกแบบ ค่าแรงก่อสร้าง เป็นต้น
  4. ได้เปรียบเรื่องข้อมูลเยอะกว่า ตรงนี้เป็นปัญหาเกี่ยว “ความไม่สมมาตรของข้อมูล (Asymmetric information)” ระหว่างนายหน้ากับคนขายอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่แล้ว “บุคคลทั่วไป” มักจะเป็นผู้ที่มีข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์น้อยกว่า “นายหน้า” อสังหาฯ นายหน้าจะอาศัยช่องว่างตรงนี้หาประโยชน์โดยร่างสัญญาว่าจ้างนายหน้าจะเขียนประมาณว่า “ในกรณี  ที่นายหน้าสามารถชี้ช่องหรือจัดการให้ผู้ให้สัญญาขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อในราคาสูงกว่าที่ตกลงกันไว้ ผู้ให้สัญญาตกลงให้จำนวนเงินส่วนที่เกินเป็นของนายหน้า แต่ในกรณีนี้นายหน้าจะต้องมีภาระหน้าที่ในการเสียค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ค่าฤชากร ค่าภาษีอากร ตลอดจนค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ซึ่งทางราชการเรียกเก็บในส่วนของจำนวนเงินที่เกินด้วยตนเองทั้งสิ้น” จากข้อสัญญาตรงนี้ทำให้ราคาส่วนเกินที่นายหน้าสามารถขายได้ตกอยู่แก่นายหน้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้บางครั้งก็เป็นที่ไม่พอใจของผู้ขายเป็นเรื่องเป้นนราว บางรายนายหน้าได้รับส่วนเกินจากราคาที่ตกลงไว้หลายล้านบาท ตรงนี้ถือเป็นโอกาสในการทำกำไรของนายหน้าอีกช่องทางหนึ่ง
  5. รูปแบบของสัญญา บางครั้งนายหน้าจะมีสัญญาตกลงกันระหว่างนายหน้ากับเจ้าของ ว่าจะต้องแต่งตั้งให้นายหน้าคนนี้ให้เป็นตัวแทนขายแต่เพียงผู้เดียว ห้ามมิให้นายหน้าผู้อื่นเป็นตัวแทนขายเป็นอันขาด โดยจะให้สัญญานี้มีอายุกี่เดือนแล้วแต่ตกลงกัน ตรงนี้จะเป็นวิธีป้องกันให้นายหน้าไม่มีความเสี่ยงถูกนายหน้าคนอื่นขายตัดหน้า และอีกทางหนึ่งก็เป็นแรงผลักดันให้นายหน้ารีบๆขายและทำการตลาดได้อย่างเต็มที่ สบายใจกันทั้ง 2 ฝ่าย
  6. ใกล้ชิดนายทุน การที่จะเป็นนายหน้าที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องเป็นคนที่รู้จักคนเยอะๆ ใกล้ชิดกับนายทุนที่พร้อมที่จะซื้อและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การเข้าหานายทุนก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคลและเราทำอย่างไรให้เค้าเชื่อถือเราและพร้อมที่จะลงทุนเมื่อเรานำไปเสนอขาย
  7. นายหน้าต้องมีไอเดียที่จะขาย นายหน้าที่จะประสบความสำเร็จหลายคนเป็นผู้ที่รู้จักนายทุนรู้จักคิดพลิกแพลงใช้เทคนิคในการเจรจาต่อรองซื้อขาย นำเสนอขายไอเดีย สามารถบอกข้อดี ข้อเสียทำตัวให้น่าเชื่อถือ รู้ให้ลึกรู้ให้จริงในของที่นำเสนอ การขายไม่ใช่ขายเพียงปัจจุบัน แต่เราต้องขายอนาคตให้นายทุนเห็นภาพและเมื่อนายทุนท่านถามอะไรเราต้องตอบได้
  8. เทคนิคการซื้อขาย เทคนิคการซื้อขายตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ แผนการ และความสามารถของตัวนายหน้า จะยกตัวอย่างให้เห็นภาพซักหนึ่งกรณี
    • “กรณีสมมุติ จากสถานการณ์จริง : ธนาคารจะขายที่ดินให้แก่นาย ก. ซึ่งมีอาชีพเป็นนายหน้า ว่าจะที่ดินในราคาไร่ละ 1,000,000 บาท จำนวน 100 ไร่ ธนาคารให้มัดจำเป็นจำนวนเงิน 8 ล้านบาท แต่นาย ก มีเงินอยู่เพียง 2 ล้าน ด้วยความหัวใสจึงแบ่งขายที่ดิน 50 ไร่ ไปเสนอขายให้นายทุน  ตกลงราคากันเบ็ดเสร็จ นายทุนสนใจจึงให้นายทุนวางเงินมัดจำเป็น 6 ล้านบาท สั่งจ่ายเป็นชื่อธนาคาร และนำมารวมกับของนาย ก.2 ล้าน เป็น 6 ล้านพอดี และถ้าหากธนาคารอนุมัติก็ถือว่าการวางมัดจำระหว่างธนาคารเป็นผลสำเร็จและทำสัญญาจะซื้อจะขายกับธนาคารเรียบร้อย ให้เวลา 3 เดือนถึงค่อยโอนกรรมสิทธิ์ ถ้าหากนำเงินมาจ่ายไม่ทันตามกำหนดจะยึดเงินมัดจำ ขณะนี้สิทธิ์ในที่ดินอยู่ในมือของนาย ก. และที่ดินส่วนที่เหลืออีก 50 ไร่ นำไปเสนอขายคิดรวมค่าใช้จ่ายต่างๆเรียบร้อย ต้นทุนอยู่ประมาณ 1,200,000 บาท/ไร่ นำไปประกาศขาย 1,300,000-1,500,000 บาท/ไร่ ราคาตลาดบริเวณนั้นประมาณ 1,600,000 บาท/ไร่ โดยนำที่ดิน 50 ไร่ แบ่งขายออกเป็น 3 แปลง แปลงละ 10-15 ไร่ เฉลี่ยราคาขายได้ประมาณ 1,400,000 บาท/ไร่ ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ทำการปิดการขายเสร็จ  ก็ยื่นขอเปลียน ชื่อผู้รับโอน ให้ลูกค้าไปเป็นผู้รับโอนแทนเรา โดยโอนเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม หลังจากนั้นก็ยื่นแบ่งแยกกัน เป็นอันเสร็จเรียบร้อย กำไรจากไร่ละ 1,000,000 เพิ่มเป็น 1,400,000 บาท ด้วยเงินมัดจำในส่วนของตัวเองเพียง 2 ล้านบาท” จะเห็นว่านายหน้าบางครั้งก็มีโอกาสในการทำเงินหลากหลายวิธีขึ้นอยู่กับเทคนิค ประสบการณ์ และความสามารถในการปิดการขาย อย่างน้อยก็เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นช่องทางในการทำเงินมากขึ้น (วิธีการขายเป็นวิธีที่เคยขายได้จริง แต่ตัวเลขแตกต่างออกไป)
  9. เปิดประชาคมอาเซียน (AEC) เป็นอีกโอกาสหนึ่งของนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ จากการคาดกาณ์อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ชาวต่างชาติจะเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานกันมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อนายหน้าอสังหาริมทรัพย์การซื้อการโอนที่อยู่อาศัย

ปัจจุบันนายหน้าในประเทศไม่มีกฎหมายรองรับเหมือนกับต่างประเทศที่การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องผ่านตัวแทนเท่านั้นห้ามทำการซื้อขายกันเอง และต่างประเทศมีใบรับรองวิชาชีพชัดเจนเป็นที่น่าเชื่อถือและมีกฎหมายควบคุมอยู่ผู้ว่าจ้างหักหลังนายหน้า และในปัจจุบันนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ก็ถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดออกไปบางส่วนจาก Campaign สำหรับใครที่จะทำนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เป็นอาชีพ อาจจะมีความเสี่ยงมากขึ้นกว่าคนที่ทำเป็นงานเสริม เนื่องจากรายได้ไม่แน่นอน บางเดือนอาจจะขายไม่ได้ บางเดือนอาจจะขายได้ บางครั้งอาจจะถูกโกงจากผู้ว่าจ้างเช่น ไปคุยกับเจ้ากันเองไม่ผ่านนายหน้าหลังจากนายหน้าพาไปแนะนำแล้ว

“ทั้งนี้การซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ของท่านจะผ่านนายหน้าหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของท่าน แต่ในวันนี้หากฝ่ายใดเป็นผู้ที่มีข้อมูลมากกว่ารู้ราคาตลาดในย่านนั้นๆก็จะได้เปรียบมากที่สุด”

บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้

TerraBkk ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก