จับตาแนวโน้มการออกแบบเพื่ออนาคต ตามแนวคิด WELL-BEING ผ่านเวที Creative Talk ในงาน TERRAHINT Brand Series 2022 EP.2
เก็บตกสาระการออกแบบและจัดการเมืองบนเวที Creative Talk ในงานที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ของ TERRAHINT Brand Series 2022 : ขบคิด ติดเครื่องแบรนด์ เพื่ออนาคต โดยปีนี้จัดขึ้นตามแนวคิด “GOOD HEALTH AND WELL-BEING” ทำให้งานสัมมนาในปีนี้มาในหัวข้อ “แนวคิดการออกแบบเพื่ออนาคต DESIGN FOR THE FUTURE” เนื้อหาเข้มข้นอัดแน่น นำเสนอแนวทางการสร้างเมืองเพื่อความยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิต จากวิทยากรรับเชิญจากหลากหลายวงการถึง 7 ท่าน
ส่วนแต่ละท่านมาแชร์ไอเดียบรรเจิดขนาดไหน TerraBkk มีสรุปของแต่ละท่านมาฝาก
อ่านบทความ EP.1 คลิก
Adaptive Landscape and Environment
ธัชพล สุนทราจารย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการ บริษัท ภูมิสถาปนิก Landscape Collaboration จำกัด
มองในมุมของการออกแบบอาคารกันแล้ว ลองมองในเชิงนักภูมิสถาปัตย์บ้าง เพราะแท้จริงแล้วศาสตร์ของแลนด์สเปคมีผลต่อการสร้างชีวิต Well-Being ได้อย่างมากมายชนิดคาดไม่ถึงเช่นกัน อย่างที่ ธัชพล สุนทราจารย์ นักภูมิสถาปนิกอาชีพ กล่าวเปิดการทอล์คว่า
“ภูมิสถาปัตยกรรมเป็นศาสตร์ของการจัดการที่วางหรือที่ดิน เรื่องของพื้นที่ว่างเป็นอะไรที่ยืดหยุ่นที่จะสามารถปรับให้เข้ากับธรรมชาติหรือเป็นพื้นที่สีเขียวได้ ดังนั้นเรื่องแลนด์สเปคเป็นเรื่องการจัดความสมดุลระหว่างธรรมชาติ สังคมมนุษย์ และวัฒนธรรม”
ทั้งนี้หลักภูมิสถาบัตย์สามารถรักษาสมดุลระหว่างสามสิ่งนี้ ไปพร้อมกับยกระดับคุณภาพชีวิต โดยยังสามารถใช้ธรรมชาติมารักษาเอกลักษณ์พื้นที่เดิมไว้ได้ด้วย ธัชพลได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาผ่านผลงานของทีมออกแบบของเขา เช่น โปรเจ็คต์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จ.นครสวรรค์ ในชื่อ ‘พาสาน’ (Pasarn) ลานสาธารณะต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มาช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวปากน้ำโพได้ไปโดยปริยาย
‘พาสาน’ เป็นโครงการตั้งอยู่ริมปากแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นจุดที่แม่น้ำน่านมาเจอกัน ความท้าทายของโครงการนี้ คือ เป็นจุดที่ระดับน้ำขึ้นลงต่างกันถึง 9 เมตรในช่วงหน้าแล้งและฤดูน้ำหลาก แต่โจทย์ต้องการให้จุดนี้สามารถมองเห็นปรากฏการณ์ของแม่น้ำสองสีในจุดที่น้ำท่วม ในฐานะแลนด์สเปคต้องทำให้พื้นที่บางส่วนโดนน้ำท่วมได้ เพื่อให้อาคารดูกลมกลืนกับธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้ด้วย
“ดังนั้นการออกแบบอาคารที่จะอยู่บนพื้นที่นี้ เราจึงเล่นกับฟอร์มของอาคารที่ให้รูปทรงโค้งเหมือนสะพาน เมื่อถึงฤดูน้ำหลากสามารถพายเรือลอดใต้อาคารได้ เมื่อถึงฤดูแล้งพื้นที่ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ผู้คนสามารถให้พื้นที่ใต้อาคารประกอบกิจกรรมของชุมชนได้ และเมื่อถึงฤดูน้ำหลากก็สามารถขึ้นไปบนอาคารชมปรากฏการณ์แม่น้ำสองสีได้”
ถือเป็นอีกตัวอย่างอันชาญฉลาดในการใช้ศาสตร์ภูมิสถาปัตย์มาตอบโจทย์ได้ครบทุกมิติทั้งเรื่องธรรมชาติ, สังคม และวัฒนธรรม
ไม่เพียงแต่โครงการสาธารณะเท่านั้น แลนด์สเคปยังมีส่วนสำคัญต่อการออกแบบเพื่อการอยู่อาศัยและเชิงพาณชย์ไม่แพ้การออกแบบในอาคารแบบอื่นๆ ยกตัวอย่างคอนโดนมิเนียม U Delight Residence Riverfront พระราม 3 ของ Grand U ซึ่งเป็นคอนโดริมแม่น้ำ โจทย์คือทำให้โครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร แต่ยังคงดื่มด่ำกับบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาดั้งเดิมของพื้นที่เอาไว้
“โครงการนี้ทีมงานมีการศึกษาอินไซด์บริเวณสองข้างแม่น้ำแถบนั้น รวมถึงน้ำขึ้นน้ำลง เราพบกว่าตรงข้ามโครงการมีต้นลำพูขึ้นอยู่รายล้อม จึงดึงมาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ โดยเราดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางมาอยู่ริมแม่น้ำ โดยเว้นพื้นที่บางส่วนปลูกต้นลำพูไว้ เป็นพื้นที่เปิดรองรับน้ำขึ้นน้ำลงของแม่น้ำ มีเขื่อนกันอาณาเขตระหว่างน้ำและพื้นที่แห้ง ส่วนที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำปลูกต้นลำพูบนพื้นสโลปได้ เพื่อสร้างบรรยากาศชายน้ำให้มีความโรแมนติก คงเสน่ห์พื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาไว้”
นอกจากนี้เทคนิคด้านดีไซน์แล้ว ยังมีการศึกษาเรื่องเขื่อนธรรมชาติด้วยว่าแบบไหนจึงจะเหมาะกับลักษณะโครงการ ทีมออกแบบเลือกใช้ไผ่ตงโคนซอมาสร้างเป็นแนวป่าโกงกาง เพื่อเป็นเขื่อนธรรมชาติป้องกันการกัดเซาะปลูกคู่ไปกับต้นลำพู เป็นอีกเคสที่เห็นถึงการใช้ความลื่นไหลของธรรมชาติมาสร้างเอกลักษณะให้กับที่อยู่อาศัยประเภทคอนโด
หรืออย่างกรณีอาคารสำนักงานใหญ่ SCG ก็เช่นกัน เป็นโครงการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคาร LEED Platinum โดยเริ่มแรกโครงการนี้มีโจทย์เรื่องการเก็บคุณค่าเดิมของพื้นที่เอาไว้ และเน้นเรื่องการบริหารจัดการน้ำในอาคาร ทีมออกแบบจึงพยายามเก็บต้นไม้เดิมไว้เกือบทุกต้น โดยใช้พื้นสโลปเชื่อมต่อระหว่างอาคารสำนักงานเก่าและสำนักงานใหม่ โดยไม่ทำลายต้นไม้ดั้งเดิม เพื่อให้ได้ตามโจทย์ รวมถึงมีตัวอย่างของการบำบัดน้ำด้วยธรรมชาติ โดยเก็บน้ำทิ้งทั้งหมดจากตัวอาคาร ออกแบบพื้นที่ให้มีการหน่วงน้ำไว้ตามบริเวณโดยรอบของโครงการ เพื่อรอนำมาบำบัด เพื่อไม่ปล่อยให้เป็นภาระของเมือง
“การออกแบบแลนด์สเปคในเมืองร้อนอย่างประเทศไทย แกนที่ตอบโจทย์เรื่อง Well-Being มาก คือ เรื่อง Microclimate ทำอย่างไรให้คนอยู่สบายท่ามกลางอากาศที่ร้อน อีกประการคือเรื่อง Empathy ออกแบบอย่างไรให้ตอบโจทย์ความรู้สึกของผู้ใช้งาน”
โครงการ Mega Foodwalk 2018 ถือเป็นตัวอย่างของโครงการที่ตอบโจทย์ทั้ง 2 ส่วนที่กล่าวมา โดยห้างสรรพสินค้าเมกาบางนา มีโครงการสร้างอาคารใหม่ที่จะเชื่อมต่ออาคารอินดอร์เดิม โดยมีด้านล่างเป็นที่จอดรถ เป็นการทยอยคนจากอาคารจอดรถเข้าสู่ตัวอาคารหลักในทุกชั้น
จากประสบการณ์จากหลายๆ โครงการที่ผ่านมาของธัชพลและทีม คำนึกถึงหลักสำคัญ คือ พื้นที่เอาต์ดอร์นอกจากต้องสวยงามแล้ว ต้องทำให้คนรู้สึกอยากใช้ด้วย นั่นทำให้การออกแบบพื้นที่เอาต์ดอร์ตรงนี้ เน้นการดีไซน์ให้มีความร่มรื่นเป็นหลัก มีน้ำไหลผ่าน โดยนำพลังงานโซล่าเซลล์มาใช้ขับเคลื่อนระบบหมุนเวียนเปลี่ยนน้ำ ซึ่งน้ำทำให้เกิดระบบความเย็นในพื้นที่
“เราดีไซน์ให้น้ำมีความลื่นไหลที่หลากหลาย เช่น สร้างวอเตอร์เพลย์สำหรับเด็กเล่นได้ ต้นไม้เราปลูกลงดินทั้งหมด ส่งผลให้พื้นที่เอาต์ดอร์บริเวณนี้เกิดความรู้สึกสบาย เย็นกว่าการเดินข้างนอกประมาณ 30% ถือเป็นอีกคีย์ซัคเซสในการออกแบบพื้นที่เอาต์ดอร์ เพราะมีผู้คนออกมาใช้พื้นที่นี้จริง”
นอกจากนี้ในโครงการเดียวกันยังตอบโจทย์เรื่อง Empathy ด้วยใช้หลักการเดียวกันกับการออกแบบพื้นที่สีเขียว กรณีส่วนต่อขยายของเมกาบางนา เนื่องจากพื้นที่กลางห้างเป็นส่วนที่ผู้คนเข้าไปใช้มากสุดที่สุดโดยไม่ได้ออกมาบริเวณโดยรอบเลย ดังนั้นทีมออกแบบจึงนำพื้นที่สีเขียวมาดัดแปลงใช้กับพื้นที่เอาต์ดอร์ เพื่อดึงผู้คนออกมาใช้เวลาทำกิจกรรมอยู่นอกห้างบ้าง ขณะเดียวกันต้องตอบโจทย์ผู้คนที่อยู่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบห้าง ให้เป็นพื้นที่สามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย
“ทีมออกแบบมีการดีไซน์ทางเดินเชื่อมชั้นบนชั้นล่างเป็นพื้นที่สีเขียว สร้างลู่จักรยานสำหรับเด็กและลานจักรยานสำหรับกลุ่มวัยรุ่น ไปจนถึงสร้างบ้านต้นไม้ที่มีทางเดินล้อมรอบ เพื่อเป็นจุดเดินเล่นพักผ่อนของเด็ก รวมถึงสไลด์เดอร์สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ บันไดสโลปเพื่อเป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนสำหรับผู้ใหญ่และกลุ่มผู้สูงอายุ”
เป็นอีกงานออกแบบที่ตอบโจทย์กลุ่มคนทุกเพศทุกวัย เช่นเดียวกับกรณีของโครงการระดับทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ อย่าง Dusit Central Park เป็นการนำอิลิเมนต์ 3 ส่วนมารวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ Heritage, Bangkok Sanctuary, Inclusive Design For Commumity เพื่อสร้างพื้นที่ที่ก่อให้เกิดระบบนิเวศที่ดีในกรุงเทพ เกิดสังคมพรรณไม้ที่สมบูรณ์