กรุงเทพฯ – นางสาวสุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด เผยผลวิจัย The Most Powerful Real Estate Brand 2022 และผลวิจัยเจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคตามแนวคิด “GOOD HEALTH AND WELL-BEING”  โดยเก็บข้อมูลแบบออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่าง (ค่า Confidence Interval ของงานวิจัยชุดนี้อยู่ที่ 95% และค่า Standard Error ของงานวิจัยชุดนี้อยู่ที่ 0.05) จากผลงานวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 84% จาก 1,000 ตัวอย่าง มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัย โดยกว่า 44% คาดว่าจะซื้อบ้านเดี่ยว และ 29% คาดว่าจะซื้อคอนโดฯ โดยวางงบซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมาจาก 3 ปัจจัย คือ ระบบรักษาความปลอดภัยของโครงการ, บริการหลังการขาย และสังคมเพื่อนบ้านที่ดี

            สำหรับที่อยู่อาศัยระดับราคา 3-7 ล้านบาท ในกลุ่มบ้านแนวราบทำเลที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก คือ รังสิต-ลำลูกกา, บางใหญ่-บางบัวทอง, และบางพลี ขณะที่ทำเลอยู่อาศัยในกลุ่มคอนโดฯ ที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก คือ จตุจักร-ประชาชื่น, อ่อนนุช-บางนา และพญาไท-อารีย์ โดยปัจจัยสำคัญในการซื้อบ้านหรือคอนโดฯ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัย, บริการหลังการขายที่ดี, สังคมเพื่อนบ้านดี, วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง และราคา เมื่อเจาะลึกลงถึงความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่มบ้านแนวราบ พบว่า คนส่วนใหญ่ต้องการบ้านที่มีฟังก์ชั่นครอบคลุม อาทิ Smart Home เพื่อความปลอดภัย, นวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ, การออกแบบเพื่อสูงอายุ, ที่ชาร์จรถ EV และDouble Volume  ขณะที่กลุ่มคอนโดฯ จะให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นที่เพิ่มความเป็นส่วนตัว อาทิ ประตู-ฉากกั้นห้องนอน, หน้าต่างบานใหญ่, ครัวปิด, ห้องนอนที่สามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุตได้

            ทั้งนี้จะเห็นว่าเทรนด์ของผู้บริโภคในปี 2565 จะให้ความสำคัญกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) มากกว่าการเปรียบเทียบราคาหรือทำเลแบบเมื่อก่อน โดยมีความต้องการหรือคาดหวังบ้านในอุดมคติ จะต้องช่วยสร้างความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น และต้องสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคลผู้อยู่อาศัยในแต่ละช่วงวัย ซึ่งข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามในกลุ่ม Gen Y อายุ 27-40 ปี มีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยถึง 88% โดยตัวเลขที่น่าสนใจคือ 38% ของ Gen Y เป็นการซื้อบ้านหลังที่ 2 และ 29% เป็นการซื้อบ้านหลังแรก ซึ่งส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวในระดับ ราคา 3-7 ล้านบาท และให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัย ที่รัดกุมและทันสมัย รวมถึงการออกแบบ Universal Design รองรับทุกเพศ ทุกวัย และพื้นที่ส่วนกลาง 24 ชั่วโมง 

            ขณะที่กลุ่ม Gen Z อายุ 18-26 ปี ก็เป็นอีกกลุ่มที่กว่า 87% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่ง 72% เป็นการซื้อบ้านหลังแรกของ Gen Z และ 17% เป็นการซื้อบ้านหลังที่ 2 โดยสนใจซื้อคอนโดฯและบ้านเดี่ยว ในระดับราคา 2-5 ล้านบาท โดยปัจจัยสำคัญมาจาก ความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง, ต้องการสังคมที่ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น และต้องการซื้อไว้พักอาศัยในวันทำงาน ขณะที่เรื่องการจัดการระบบสาธารณูปโภคที่ดี เช่น สายไฟลงดิน, ระบบระบายน้ำ, ระบบจัดการขยะ นวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวก เช่น Smart Home, EV Charger, การก่อสร้างที่ไม่ก่อมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยังเป็นเทรนด์สำคัญที่คนกลุ่ม Gen Z มีความต้องการเป็นอันดับต้นๆ

            ด้านแนวโน้มความเชื่อมั่นผู้บริโภคปี 2565 พบว่ามีสัญญาณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปี 2565 อยู่ที่ 79.3 เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ 45.4 ซึ่งจากข้อมูลพบว่ากลุ่มเจ้าของกิจการมีความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าปี 2565 สถานะทางการเงินดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าในอีก 1 ปีข้างหน้าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น อสังหาฯหรือรถยนต์ เป็นต้น

            สำหรับการประกาศผลรางวัล The Most Powerful Real Estate Brand ประจำปี 2565 ผู้ที่คว้ารางวัลในปีนี้ ได้แก่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นับเป็นปีแรกที่ SC ASSET คว้ารางวัล The Most Powerful Real Estate Brand โดยเป็นแบรนด์ที่มีการปรับตัวเติบโตต่อเนื่อง ทั้งการรับรู้ ภาพลักษณ์ และความพึงพอใจ ก่อให้เกิดการสร้างฐานลูกค้าผู้ภักดี ครองตำแหน่งอันดับ 1 ในปีนี้

            ขณะที่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัล Eternal Award สำหรับแบรนด์ที่ครองใจลูกค้าได้ต่อเนื่องเป็นอันดับหนึ่ง 5 ปี ติดกัน  เปรียบเสมือนแบรนด์ดาวค้างฟ้าเป็นตำนานในแวดวงอสังหาฯ  และ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ในปีนี้สามารถคว้ารางวัล Credence Award แบรนด์ผู้กำหนดบรรทัดฐานคุณภาพ และสร้างฝันของลูกค้าได้เป็นจริงสูงที่สุด   และประกาศเกียรติคุณพิเศษให้กับ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ด้าน Excellence in Cater to Economy Group (แบรนด์ตอบโจทย์คนชั้นกลาง) และ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC ด้าน Excellence in Green Development (แบรนด์ที่พัฒนามุ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม) 

             การเข้าสู่ Metaverse นั้นพบว่าผู้คนมีประสบการณ์การใช้งานสัดส่วนเพียง 17% และ มีความคิดเห็นต่อโลกเสมือนจริงว่าน่าจะมาแทนที่โลกจริงได้ 62% ในขณะที่คนกลุ่ม Gen Z นั้นมีความคิดเห็นว่าโลกเสมือน Metaverse น่าจะเข้ามาแทนที่โลกแห่งความจริงได้สูงถึง 80% มากกว่ากลุ่มคนอื่นๆ โดยการเข้าสู่ Metaverse นั้นเป็นไปเพื่อความบันเทิง (เล่นเกมส์ ดูคอนเสิร์ต) เพื่อการทำงาน (ประชุมออนไลน์) และเพื่อการลงทุน (NFT, Cryptocurrency) และประสบการณ์ต่อบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าสู่ Metaverse นั้นการรับรู้ยังอยู่ในระดับต่ำ

            สำหรับการรองรับผู้บริโภคยุคใหม่นี้ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต้องกำหนดจุดยืน จุดขายของตนเองใหม่ เนื่องด้วยผู้บริโภคในวันนี้ไม่ได้มองหาบ้านเพื่อการอยู่อาศัยเพียงเท่านั้น แต่ต้องการหาพื้นที่ที่จะช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ให้เกิดขึ้น โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการนั้นคือ เทคโนโลยีด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบายด้วยร้านค้า สิ่งอำนวยความสะดวกในระยะเวลา 15 นาที  สังคมเพื่อนบ้านที่เป็นมิตร และสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย ซึ่งโครงการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทศวรรษนี้ นั่นคือ การวางแผนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน หรือ มิกซ์ยูส (Mix-used Project) นั่นเอง