ที่ผ่านมาโลกได้เผชิญภาวะวิกฤตมาแล้วหลายครั้ง ทั้งวิกฤตการเงินในเอเชียเมื่อปี 1997 และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2008 รวมถึงการแพร่ระบาดของไวรัสซาร์ส เมอร์ส ไข้หวัดหมู อีโบล่า และภัยธรรมชาติอย่างสึนามิ ซึ่งเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบวงกว้าง มาถึงปัจจุบันที่โควิด – 19 กำลังเป็นโรคอุบัติใหม่ ที่มีผลทั้งด้านสุขอนามัยของมนุษย์ สังคม และสภาพเศรษฐกิจ  

         ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ที่เกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้คนส่วนใหญ่เกิดความวิตกกังวล ซึ่งนำมาสู่การป้องกันสุขภาพอนามัย และก่อให้เกิดการทำงาน แบบ Work From Home รวมถึงธุรกิจต่างๆ ที่มีการปรับบริการรับความต้องการ 

เหล่านี้กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอนาคตและอาจเกิดเป็น new normal หรือ โลกใหม่ใบเดิม ที่เปลี่ยนวิถีชีวิต การทำงาน ธุรกิจต่าง ๆ จะมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว

ซึ่งจะเห็นจาก 5 สิ่งที่น่าจับตาหลังการจบลงของวิกฤตการณ์โควิด – 19 คือ

รูปแบบภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่มีประเทศจีนเป็นศูนย์กลางจะเด่นชัดมากขึ้น 

       วิกฤต โควิด–19 ที่เกิดขึ้น จีนเป็นประเทศแรกที่ได้รับผลกระทบ ภาคการผลิตของจีนที่หยุดชะงักส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่มูลค่าโลกและทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งผู้ผลิตต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ รวมถึงผู้บริโภค แต่จีนสามารถเข้าสู่ระยะฟื้นฟูได้รวดเร็วด้วยมาตรการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพ ประกอบกับจีนมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เพียงพอที่สามารถสร้างแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศได้ง่าย ไม่ต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจจากภายนอก และในขณะที่จีนกำลังจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว หลายประเทศกำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาด จึงเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจและเศรษฐกิจของจีนที่จะฟื้นกลับมาด้วยอัตราเร่งในขณะที่พื้นที่เศรษฐกิจอื่นอย่างสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกายังบอบช้ำ

สังคมที่เริ่มคุ้นชินกับเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Familiarity)

       ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่านมาการเข้าถึงและการเรียนรู้เทคโนโลยีดิจิทัลแพร่หลายเฉพาะในบางกลุ่มวัย แต่ วิกฤต โควิด–19 ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนต้องดำรงชีวิตแบบเว้นระยะจากสังคม จึงเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะมาช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับโลกภายนอกมากขึ้นแม้จะต้องมีการปรับตัวในการใช้งาน เช่น การเติบโตของการใช้งานระบบประชุมออนไลน์ การใช้เงินดิจิทัล การดูหนังออนไลน์ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้บริโภคมีความคุ้นชินและเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น และนำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้เราก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัลเร็วกว่าที่คาดการณ์

ทิศทางอุตสาหกรรมกับการพึ่งพาตัวเอง

        ในหลายประเทศสัดส่วนการพึ่งพิงอุตสาหกรรมบริการเทียบกับอุตสาหกรรมการผลิตมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ที่สร้างรายได้และการจ้างงาน วิกฤต โควิด – 19 ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายประเทศปิดพรมแดน/ปิดประเทศ ผู้คนเริ่มใช้ชีวิตแบบเว้นระยะจากสังคม เกิดการดำรงชีวิตแบบไม่พึ่งพาระบบ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบริการ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการเดินทาง ท่องเที่ยว ค้าส่งและค้าปลีก บันเทิง ร้านอาหารและร้านค้า ส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบน้อยจะเป็นกลุ่มบริการแพลทฟอร์มดิจิทัลและบริการที่มีมูลค่าสูง รวมถึงอุตสาหกรรมการผลิต สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของความสามารถในการพึ่งพาตัวเองที่เชื่อมโยงกับทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ

ธุรกิจสตาร์ทอัพจะเป็นเรื่องที่ยากขึ้น

        ที่ผ่านมาธุรกิจสตาร์ทอัพล้วนเกิดขึ้นเกิดจากความต้องการแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภค และเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการลงทุนของนักลงทุน แต่อย่างไรก็ตามวิกฤตโควิด – 19 ทำให้ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันไปให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานมากกว่าความต้องการใหม่ ๆ นักลงทุนจะชะลอการลงทุนเพราะต้องสำรองเงินไว้เพื่อฟื้นฟูธุรกิจ ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ แต่ในขณะเดียวกันอาจเป็นโอกาสสำหรับสตาร์ทอัพกลุ่มดิจิทัลและกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเร่งด่วน หรือตอบโจทย์พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค

การฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องอาศัยภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่

        การดำรงชีวิตแบบเว้นระยะห่างทางสังคมรวมถึงการปิดประเทศ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ใช้แรงงาน ธุรกิจบริการ ผู้ประกอบการขนาดย่อมและขนาดเล็ก ซึ่งผลกระทบจะยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นหากกินเวลานาน แต่ผู้ที่ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้จะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีเงินสำรองสูง มีธุรกิจรองรับหลากหลาย หรืออยู่ในภาคการผลิตที่พร้อมจะกลับมาได้รวดเร็ว ทั้งนี้ เมื่อวิกฤตการณ์ผ่านพ้นไป ภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างมาก แต่ภาครัฐจะต้องดูแลไม่ให้เกิดการผูกขาดและเกิดความเหลื่อมล้ำในการแข่งขัน และต้องทำงานร่วมกับธุรกิจขนาดใหญ่อย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดการจ้างงาน และฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

สำนักงานนวัตกรรรม (องค์การมหาชน) หรือ NIA เผยข้อมูลว่า โควิด – 19   เป็นสถานการณ์ครั้งสำคัญที่ทุกประเทศจะต้องหาแนวทางการรับมือในภาวะวิกฤตที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ โดยแบ่งเป็น 3 ขั้น คือ

ขั้นที่ 1 การรับมือก่อนเกิดเหตุ : โดยใช้เทคนิคทางระบาดวิทยาและข้อมูลต่าง ๆ มาเตรียมพร้อมรับมือ

ขั้นที่ 2 การรับมือระหว่างเกิดเหตุ : กำหนดมาตรการมาตอบสนองและต่อสู้กับการแพร่ระบาด และทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิตแบบปกติกลับมาให้เร็วที่สุด

ขั้นที่ 3 การฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ : เช่น มาตรการการเงินการคลังเพื่อประคองเศรษฐกิจ มาตรการช่วยเหลือแรงงานและนายจ้าง และนอกเหนือจากมาตรการดังกล่าวสำหรับการฟื้นฟูและการเยียวยา ควบคู่กับมาตรการที่มีความต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ สร้างศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการ และสร้างความสามารถให้กับประเทศในการพัฒนาแบบพึ่งพาตัวเองในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานนวัตกรรรม (องค์การมหาชน)