สรรพากรสรุป 10 วิธีที่บรรดาคนรวย-นักธุรกิจ-นักการเมือง ใช้ในการเลี่ยงภาษี ยิ่งกว่า ‘ดารา’ ชี้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีนักการเมืองเป็นเจ้าของ “ซิกแซ็ก” หลายรูปแบบ แถมยกระดับคนงานเป็นผู้รับเหมาช่วงเพื่อหลบภาษีได้ง่ายๆ ส่วนกลุ่มอสังหาฯ ก็งัดวิชามารเลี่ยงภาษีกันเห็นๆ ขณะที่บริษัทส่วนใหญ่เลือกแต่งบัญชีเท็จเพื่อให้เจ้าของและหุ้นส่วนรวยทั่วหน้า สรรพากรบ่นใช้กฎหมายเล่นงานพวกโกงภาษีไม่ได้เพราะถูกนักการเมืองบีบ ‘พวกข้าใครห้ามแตะ’


ข้อเท็จจริงแล้ว มีบุคคลที่มีรายได้สูงจำนวนมาก โดยเฉพาะบรรดานักธุรกิจการเมือง หรือนักการเมืองที่มีอิทธิพลต่างๆ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ล้วนแต่หาช่องทางที่จะเลี่ยงภาษีเพื่อให้เขาและบริษัทของเขาจ่ายภาษีน้อยที่สุดเท่าที่กฎหมายเปิดช่องไว้ “มันเป็นการวางแผนภาษีเพื่อให้จ่ายน้อยที่สุด ซึ่งจะทำอย่างนี้ได้ต้องมีคนชี้แนะ ตั้งแต่นักบัญชี บริษัทที่ปรึกษาทางบัญชี และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรร่วมกันดำเนินการให้” สำหรับ "กลวิธีในการเลี่ยงภาษี หรือ 10 กลวิธี โกงภาษี" ที่นิยมกระทำกันตลอดมาทั้งในส่วนของการเสียภาษีบุคคลและในรูปนิติบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพากร ได้สรุปให้ “ASTV ผู้จัดการรายวัน” ฟัง ประกอบด้วย

1. การตั้งตัวแทนเชิด คือการตั้งบุคคลอื่นหรือบริษัทเป็นผู้มีรายได้และเสียภาษีแทนตน ซึ่งมีผลให้ตัวเองเสียภาษีน้อย หรือหากมีปัญหาฟ้องร้องทางกฎหมายก็จะยากขึ้น กรณีเช่นนี้ก็เหมือนกับที่พลอย เฌอมาลย์ ให้คุณลุงวัย 77 ปี รับเงินแทนเพื่อประหยัดภาษีนั่นเอง สำหรับวิธีการตั้งตัวแทนเชิดนั้น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งส่วนใหญ่บรรดานักการเมืองทั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่น ล้วนเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งคนกลุ่มนี้กรมสรรพากรอยากจะบอกว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่เลี่ยงภาษีมากในอันดับต้นๆ โดยเฉพาะบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ จะใช้วิธีหารายชื่อคนงานแล้วให้คนงานของตนเองเป็นผู้รับเหมารายย่อย โดยเงื่อนไขสำคัญของคนที่จะถูกเชิดให้เป็นผู้รับเหมารายย่อยนั้นต้องไม่ให้มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท เพื่อเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) “จุดประสงค์ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้เขาประหยัดภาษีมากขึ้น ซึ่งความจริงเงินจำนวนที่ถูกถ่ายออกไปก็เข้ากระเป๋าพวกเขากันเอง” นอกจากบรรดาบริษัทรับเหมาก่อสร้างจะนิยมใช้วิธีการดังกล่าวแล้ว กรมสรรพากรยังพบว่าบรรดากิจการขนส่งสินค้าก็นิยมกระทำเช่นกัน ด้วยการเอาชื่อลูกน้องในการรับส่งสินค้าแทน เพื่อหลีกเลี่ยงรายได้แท้จริงของตนเอง

2. การตั้งคณะบุคคล เป็นการก่อตั้งคณะบุคคลหลายๆ คณะ จุดประสงค์เพื่อแตกฐานเงินได้ให้เล็กลง โดยมีชื่อตนเองในทุกคณะ ทำให้เสียภาษีน้อยลง และยังสามารถหักค่าใช้จ่ายในแต่ละคณะได้อีก “พวกที่มีอาชีพอิสระ ที่ปรึกษา ศิลปินดารา หรือพวกที่มีรายได้สูงๆ นิยมทำมาก อย่างดาราที่เป็นข่าวโด่งดังก็ ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต ที่ใช้วิธีการนี้เลี่ยงภาษี ซึ่งชมพู่บอกว่าที่ทำแบบนี้เพราะไม่รู้และได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆ ยืนยันว่าต่อไปเธอจะไม่ใช้วิธีนี้ เพราะเท่ากับเป็นการโกงภาษีรัฐ” แหล่งข่าวกรมสรรพากร ระบุ

3. ทำให้บริษัทขาดทุน วิธีการนี้เป็นที่นิยมทำกันแพร่หลายในทุกๆ ประเภทกิจการ โดยเฉพาะบริษัทรับเหมาก่อสร้าง จะใช้วิธีการสร้างรายจ่าย หรือบิลรายจ่ายมาเบิกบริษัทให้มากที่สุด เมื่อถึงปลายปีก็จะพบว่าบริษัทขาดทุนและไม่สามารถเสียภาษีได้ ส่วนที่มีการหัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว ก็มีโอกาสจะได้คืน เนื่องจากบริษัทไม่มีกำไรและยังขาดทุน ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้เข้าไปตรวจสอบและพบว่าบริษัทเหล่านี้มีการกระทำอีกหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น ให้บริษัทกู้ยืมเงินจากกรรมการบริษัทของตนเองเพื่อหลบยอดรายได้หรือยอดขาย และเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนของดอกเบี้ยบริษัท “นักการเมืองบางคนใช้ชื่อบริษัทสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง แต่ปรากฏว่าเอาวัสดุที่ซื้อไปก่อสร้างบ้านตัวเองราคาหลายล้าน แต่กลับนำบิลมาเบิกเป็นรายจ่ายบริษัทแทน” เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรเล่าอีกว่า ที่น่าตลกที่สุด บริษัทรับเหมาก่อสร้างทำถนน แต่กลับมีการสั่งซื้อ “สี” เป็นจำนวนมากมาหักภาษีซื้อ และยังมีการนำบิลรายจ่ายอื่นๆ ที่ใช้เป็นการส่วนตัว แล้วมีการแต่งตัวเลขให้สูงขึ้น จากนั้นนำมาตัดจ่ายในบัญชีของบริษัท

4. การหลบยอดขายและยอดซื้อ ซึ่งหมายถึงบริษัทมีการแต่งบัญชีโดยให้ยอดขายเกิดขึ้นเท่าที่ต้องการจะเสียภาษี เช่นมียอดขายสินค้า 200 รายการ แต่มีการเปิดบิลหรือมียอดขายตามบิลแค่ 80 รายการ ซึ่งวิธีนี้บรรดาบริษัท ห้างหุ้นส่วน นิยมกระทำมาก “พวกนี้จะนิยมแต่งบัญชี คือเขาจะมีบัญชี 1 และบัญชี 2 ซึ่งเขาจะรู้ว่าบัญชีไหนไว้ใช้ยื่นเสียภาษี ซึ่งจริงๆ แล้วมันผิดกฎหมาย แต่โทษบ้านเราก็แค่ปรับ พวกนี้จึงไม่เกรงกลัว”

5. การซื้อใบกำกับภาษี ที่นิยมกันก็คือการซื้อใบกำกับภาษีซื้อของผู้ประกอบการค้าน้ำมันมาเป็นยอดรายจ่ายของบริษัทตน ทั้งนี้เพราะผู้เติมน้ำมันรายย่อยมักไม่ขอใบกำกับภาษีอยู่แล้ว “ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมักขอซื้อใบกำกับภาษีดังกล่าวเพื่อนำไปขอคืนภาษีจากรัฐ เพื่อทำให้เสียภาษีน้อยลง”

6. การหลีกเลี่ยงโดยผ่านระบบบัญชี คือการสร้างบัญชีเท็จวิธีนี้นักบัญชีของบริษัทจะรู้กันกับเจ้าของกิจการ หุ้นส่วนบริษัท หรือบอร์ดบริษัท ที่ต้องการจะมีการประหยัดเงินและนำผลกำไรให้กับเจ้าของกิจการตัวจริงและหุ้นส่วนมากที่สุด ก่อนที่จะนำบัญชีบริษัทส่งให้ผู้ตรวจสอบบัญชีรับรองอีกขั้นตอนหนึ่ง “วิธีการนี้เป็นการสร้างบัญชีเท็จ ด้วยการกำหนดรายจ่ายต่างๆ เข้ามาเบิกในบัญชีบริษัทหรือค่าที่ปรึกษา ค่าโบนัสให้กับกรรมการหรือพนักงาน แต่ข้อเท็จจริงแล้วไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพียงแต่เป็นการวางแผนทางภาษีเพื่อให้บริษัทเสียภาษีน้อย แต่เจ้าของกิจการได้กำไรมากๆ”

7. การตั้งบริษัทเพื่อเจตนาออกใบกำกับภาษีซื้อปลอม วิธีการนี้จะมีการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาหลายๆ แห่ง และมีการออกใบกำกับภาษีซื้อขายแก่กันเป็นทอดๆ โดยข้อเท็จจริงแล้วบริษัทไม่ได้มีการทำกิจการจริง แต่ใช้วิธีการโอนกลับไปกลับมาเท่านั้น “เขาเจตนาโกงภาษี ทำทีมีการส่งออกสินค้า และมีการปลอมใบสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ แล้วนำมาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม”

8. การซื้อบิลจริง แต่ไม่มีการกระทำจริง วิธีการดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยอาศัยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ มาเป็นเงื่อนไขในการจ่ายภาษี ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตสินค้ารายหนึ่ง ต้องการประหยัดภาษีรายได้ เนื่องจากบริษัทมีกำไรมาก จึงใช้วิธีการติดต่อขอซื้อใบเสร็จ โดยอ้างว่าเป็นค่าการตลาด (ประชาสัมพันธ์) ในสื่อต่างๆ ในวงเงิน 20 ล้านบาท ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วบริษัทนี้ไม่ได้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์นี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว และบริษัทที่ทำโฆษณาก็ยอมออกใบเสร็จให้ “นี่เป็นวิธีการโกงภาษี ที่มีผู้ร่วมกระทำหลายคน คือบริษัทผลิตสินค้า และบริษัทผลิตสื่อโฆษณา เพราะวงเงิน 20 ล้านบาทที่บริษัทต้องการนำไปหักภาษีนั้น ข้อเท็จจริงเขาจ่ายให้บริษัทผลิตสื่อแค่ส่วนของการหักภาษีรายได้ 2% (ภาษีจ้างทำของ) และมีการตกลงส่วนต่างกันอีกประมาณ 10% เท่านั้น” ผลที่ตามมาก็คือบริษัทผลิตสินค้ารายนั้น ได้นำใบเสร็จ 20 ล้านบาทไปหักในรายได้บริษัท มีผลทำให้เขาประหยัดภาษีได้มาก ขณะเดียวกันเขาก็เสียเงินให้กับบริษัทผลิตสื่อแค่ประมาณ 2 ล้านที่ถือเป็นเงินใต้โต๊ะเท่านั้น

9. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เลี่ยงภาษีแบบเห็นๆ สำหรับวิธีการของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หรือธุรกิจพัฒนาที่ดินที่นิยมเลี่ยงภาษีกันมากส่วนใหญ่จะเป็นรายเล็ก รายกลาง และอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด จะกระทำโดยการแบ่งขายและประกาศขายที่ดินเปล่าเท่านั้น “หากสรรพากรไปตรวจบริษัทเหล่านี้จะอ้างว่า เขาขายเฉพาะที่ดินเปล่า และผู้ซื้อไปว่าจ้างปลูกบ้านกันเอง ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเขา” ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ว เป็นการขายที่ดินพร้อมบ้าน แต่แบ่งแยกเป็น 2 สัญญา คือสัญญาซื้อขายที่ดิน กับสัญญาว่าจ้างปลูกบ้าน เพื่อเลี่ยงภาษีรายได้ในส่วนของการปลูกบ้านที่ไม่ต้องจ่ายให้กับรัฐ

10. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประเภทคอนโดมิเนียม ของนักพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ ที่ดำเนินการในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวหลายจังหวัด จะมีการประกาศขายห้องชุดเพียงบางส่วน และมีการเก็บห้องชุดอีกส่วนหนึ่งไว้เพื่อใช้ประกอบกิจการโรมแรม “บริษัทพวกนี้จะไม่ยอมแสดงรายได้ที่เกิดจากการให้บริการกิจการโรมแรม เพราะรายได้จำนวนนี้ความจริงแล้วต้องนำมาคำนวณ vat เขาก็หลบเลี่ยง ซึ่งสรรพากรก็ต้องไปติดตามเพื่อให้เขาเสียภาษีและมีรายได้เข้ารัฐ” ปัญหาสำคัญที่สุดของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ก็คือ เมื่อไปตรวจพบการเลี่ยงภาษีและบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถหาหลักฐานมาหักล้างได้ ผู้เลี่ยงภาษี หรือโกงภาษี ก็จะใช้อิทธิพลทางการเมืองเข้ามาบีบข้าราชการที่ปฏิบัติงานทันทีเช่นกัน แหล่งข่าวกล่าวว่า “พวกเราเจอนักการเมืองบีบมาตลอด โดยเฉพาะพวกธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั่วประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นของนักการเมือง ต้องบอกว่าพวกนี้มีประตูเลี่ยงภาษีเยอะที่สุด และชอบใช้อำนาจข่มขู่ข้าราชการเพื่อไม่ให้พวกเราสืบสาวที่มาที่ไปมาก เพราะรู้อยู่แล้วว่าบริษัทตัวเองโกงภาษี”

ถึงเวลาแล้วที่กรมสรรพากรจะต้องดำเนินการกับผู้ที่เลี่ยงภาษีทุกราย และจะต้องไม่กระทำเฉพาะกับศิลปินดารา แต่จะต้องดำเนินการเปิดโปง บริษัท นักธุรกิจ นักการเมืองทุกรายที่เลี่ยงภาษีให้สาธารณชนได้รับรู้ เพื่อไม่ให้บริษัท หรือบุคคลอื่นๆ เอาเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป 

ยอดเก็บ ภาษีสรรพากร 77 จังหวัด จากข้อมูล ผลการจัดเก็บ ภาษีสรรพากร รายปี 2559 (ล่าสุด) จากกรมสรรพากร จะพบว่า มีค่าเฉลี่ย 1,757 ล้านบาทต่อปี ลดลง 1.65 %จากปี 2558 (1,729 ล้านบาทต่อปี ) โดยจัดเก็บภาษีสรรพากรในพื้นที่ กทม. 1.139 พันล้านบาทต่อปี สูงที่สุดในประเทศไทย และจัดเก็บภาษีสรรพากรในจังหวัดแม่ฮ่องสอน 253 ล้านบาทต่อปี น้อยที่สุดในประเทศไทย

ขอขอบคุณข้อมูล จาก : manager.co.th