การใช้ชีวิตอยู่ในกรอบที่คนอื่นสร้างขึ้นมา ตามใจ คนอื่นอยู่ตลอดเวลา หลายคนอาจจะรู้สึกว่าสบายดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่ทำตามที่คนอื่นเขาวางแผน ตีกรอบมาก็เพียงพอแล้ว ถ้าเรามีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ แสดงว่าคุณคือหนึ่งในคนที่โชคดีมากๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีคนอีกหลายคน ที่ต้องทนทุกข์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าอึดอัด ถูกบีบบังคับ ตีกรอบโดยคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ลองมองย้อนกลับมาที่ตัวเรา แล้วถามใจตัวเองดูว่า “เราจะปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในกรอบที่คนอื่นเขียนขึ้นมาจริงๆ เหรอ?” และ “เมื่อไหร่เราจึงควรออกจากกรอบนี้เสียที?” เรามีแนวคิดดี ๆ มาฝากทุกคนกันค่ะ

::: การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่ได้แปลว่าเรากับเขาจะเป็น “เพื่อนที่ดีต่อกัน” :::

ในชีวิตของเรา มีหลายครั้งหลายหนที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่ว่าจะอยู่ร่วมห้องกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย อยู่ออฟฟิศเดียวกับเพื่อนๆ ที่ทำงาน แต่การที่เราอยู่รวมกัน ในสถานที่ และสิ่งแวดล้อมเดียวกันนั้น ไม่ได้แปลว่า เราและเขาจะเป็น “เพื่อน” กันจริงๆ เสมอไป

เพราะในความเป็นจริง มีโอกาสน้อยมากที่คนในสังคมที่บังเอิญเจอกัน หรือ รวมตัวกันจะกลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่มี “นิสัย” และ “ความคิด” ที่เข้ากันได้

ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนร่วมห้องที่โรงเรียน ก็คือคนวัยเดียวกัน หรือ วุฒิการศึกษาเดียวกันที่ถูกจับให้มาเรียนรวมในห้องเดียวกัน เพื่อนในที่ทำงาน ก็คือกลุ่มคนที่มารวมตัวกันเพื่อสร้างผลกำไรให้บริษัท ซึ่งคนที่เลือกตัวเรา และ คนเหล่านั้นเข้ามาก็คือหัวหน้า หรือ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ไม่ใช่เราเป็นคนเลือกเอง

สังคมที่เราไม่ได้เลือกเองเช่นนี้ ถือเป็นสังคมที่ถูกสร้างขึ้นมา ซึ่งทำให้เราได้รู้จักทั้งเพื่อนใหม่ที่ดี และ ไม่ดี

::: ไม่กล้าทำผิดกฎ เพราะกลัวถูกไล่ออกจากกลุ่ม :::

เมื่อเกิดการรวมกลุ่มกันโดยบังเอิญ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ “กฎเงียบ” คือเป็นกฎที่ไม่มีใครกำหนดขึ้นมาแบบเป็นลายลักษณ์อักษร แต่พวกเราทุกคนต่างก็รู้กันดีว่ามันกฎนี้อยู่ นั่นคือ หากมีใครอะไรผิดกฎเพียงเล็กน้อย

บางครั้งก็อาจถูกลงโทษ ถูกคนอื่นๆ มองไม่ดี หรืออาจถึงขั้นกันออกจากกลุ่มเลยก็ได้ ซึ่งกฎนี้จะทำให้แต่ละคนจับตาดูกันและกัน และผูกมัดพวกเราเอาไว้นั่นเอง

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในสังคมทุกวัย ทุกกลุ่มคน หรือทุกองค์กร ปัญหาต่างๆ ที่เกิดในที่ทำงานของเราก็มักจะเกิดจากบรรยากาศที่ทำให้เราต่อต้านไม่ได้  และต้องยอมรับว่ากฎเงียบี้เป็นเรื่องปกติ ที่ทุกคนต้องยอมรับ และทำตาม จนบางครั้งก็ทำให้บรรยากาศในการทำงานไม่มีความสุข

แล้วเราควรแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้อย่างไรดีล่ะ? คลิกอ่านวิธีแก้ปัญหาในหน้าถัดไปเลยค่ะ

::: ตัดคนที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตของเรา :::

สิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในการ “เลือกคบคน” นั่นก็คือ คนคนนั้นต้องใช้ชีวิตแบบเดียวกับเรา เพราะถ้าเราเลือกคบคนผิด ชีวิตของเราก็อาจจะลำบากได้

คนเรามีหลายประเภท ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนดี และเข้ากับเราได้ทั้งหมด อาจมีคนเพียงเล็กน้อยที่น่ารัก เป้นมิตร และพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล ช่วยกันนำพาตัวเราไปในทางที่ดียิ่งขึ้นได้ เราต้องมองให้ออกว่าใครคือคนที่น่ารักน่าคบ และใครที่ควรหลีกเลี่ยง ระมัดระวังเมื่อต้องอยู่ด้วย

ตัวอย่างคนที่ควรระมัดระวังเมื่อต้องอยู่ด้วย

  • คนที่ชอบโกหก
  • คนที่ชอบหลอกลวง
  • คนที่ไม่รักษาสัญญา
  • คนที่ทำแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ
  • คนขี้อิจฉา
  • คนที่คอยขัดแข้งขัดขาเราอยู่เสมอ

การปฏิบัติตัวอย่างมีมิตรไมตรีต่อคนเหล่านี้ มีแต่จะทำให้เรายิ่งรู้สึกเหนื่อยล้า และไม่มีความจำเป็น

วิธีตัดคนที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตของเรา

เมื่อเราบังเอิญเจอคนที่อยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุข หรือ เจอใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่อยากคบกับคนคนนี้เลย เราควรสร้างระยะห่าง หรือ หลีกเลี่ยงที่จะพบเจอกับคนคนนี้ระมัดระวังการพูดคุยด้วย และอย่าเปิดช่องโหว่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสทำร้าย หรือ เอาเปรียบเราได้

::: กล้าย้ายไปอยู่ในสถานที่ที่เหมาะกับเรา :::

สมัยที่เรายังเด็กกว่านี้ ดูแลตัวเองได้น้อยกว่านี้ เราอาจไม่มีทางเลือกในชีวิตของตัวเองมากนัก ต้องพึ่งให้ผู้ใหญ่ และคนรอบข้างช่วยดูแล ชี้แนะ เมื่อเราเติบโตขึ้น มีอิสระในชีวิตของตัวเองมากขึ้น มีความสามารถที่จะเลือกในสิ่งที่เหมาะกับตัวเราจริงๆ ได้มากขึ้น เราก็ควรที่จะเปิดโอกาสได้ตัวเราได้อยู่ในที่ที่เหมาะสมกับเราจริงๆ

…เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราเลือกที่จะอยูู่หรือเปลี่ยนงานให้เหมาะกับตัวเองได้ นี่คืออภิสิทธิ์ของผู้ใหญ่ที่ต้องรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ หากเราไม่พอใจผู้คนที่คบหาอยู่ หรือ สถานที่ที่อยู่ก็หาใหม่ได้…

หากเรามัวแต่กลัวว่า เปลี่ยนงานแล้วจะได้เงินเดือนน้อยลง ถ้าย้าย้านแล้วจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ถ้าออกจากกลุ่มเพื่อน แล้วจะถูกเพื่อนแกล้ง แสดงว่าเรากำลังเลี่ยงการตัดสินใจ และคิดเอาเองว่า การทนอยู่แบบนี้สบายดีอยู่แล้ว หรือการคิดว่า “ทนไปอีกหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”

ความคิดแบบอาจทำให้วันหนึ่ง เรารู้สึกอึดอัดกับสังคมที่เป็นอยู่ หรือ ไม่รู้ว่าจะเสแสร้งทำเป็นมีความสุขได้อีกนานแค่ไหน เมื่อถึงจุดที่อดทนไม่ไหวอีกต่อไป เราก็ต้องย้ายไปยังสถานที่ใหม่อีกอยู่ดี

คนเราเกิดมาแค่ครั้งเดียว การยอมอุทิศชีวิตให้คนอื่น ถือเป็นการใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า แถมยังเป็นการหักหลังพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามาอย่างดี เพื่อหวังจะให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกด้วย

แม้รายจะได้จะน้อยลง แต่การเลือกงานที่ทำให้อยากตื่นขึ้นมาทำในเช้าวันจันทร์อย่างสดชื่น ถือเป็นการใช้ชีวิตอย่างมีค่ามากกว่า

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะ “กล้า” ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นของเราจริงๆเสียที…

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากหนังสือ “เลิกเป็นคนดีแล้วจะมีความสุข” – Amarin How-to

SOURCE : www.goodlifeupdate.com